นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 62 ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท หรือเติบโตราว 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 6,046 ล้านบาท โดยเป็นผลเติบโตจาก 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) จำนวน 36 โครงการ มีกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งสามารถผลิตและจำหน่ายฟ้าได้มากขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมาปริมาณการผลิตหน่วยไฟฟ้าทำได้ดีเกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ จึงเชื่อว่าทั้งปีมีโอกาสที่รายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ในส่วนของธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ SPR บริษัทในเครือของ SPCG ซึ่งจะเน้นการเติบโต กลุ่มบ้านพักอาศัย กลุ่มอาคารสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้คาดในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ จากเดิมมีอยู่ประมาณ 40-50 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ในปี 62 คาดว่ากลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย จะเติบโตอย่างมากจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของโซลาร์ ภาคประชาชนที่รัฐบาลจะเปิดรับซื้อจำนวน 100 เมกะวัตต์ เชื่อว่าจะทำให้ระบบผลิตไฟฟ้าบนหลังคามียอดการติดตั้งเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นการช่วยประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้า และต้นทุนการติดตั้งที่ปรับตัวลดลงมาด้วย
ในปี 62 บริษัทตั้งบลงทุนไว้ราว 3,000-5,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการลงทุนพัฒนาโครงการในประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก โดยความคืบหน้าโครงการโซลาร์ ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิต 480 เมกะวัตต์ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือน มี.ค.62 ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3-4 ปี จากนั้นจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ ส่วนโครงการโซลาร์ฟาร์ม ณ เมืองฟูกุโอกะ ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ คาดไตรมาส 2/62 จะสรุปผลการศึกษาและลงทุน
นอกจากนี้คาดว่าจะเห็นความชัดเจนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 3 โครงการในญี่ปุ่น โดยมีขนาดกำลังการผลิตรวมไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ในช่วงในไตรมาส 2/62 และจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ทันที โดยบริษัทจะมีโครงการขนาดไม่ใหญ่มากเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีโครงการใหม่เข้ามารับรู้รายได้และสนับสนุนการเติบโตในทุก ๆ ปี ก่อนที่จะมีโครงการขนาดใหญ่เข้ามารับรู้รายได้เพิ่มเติม