นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสแสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายทิศทางการดำเนินงานในช่วง 5 ปี (ปี 62-66) ภายใต้วิสัยทัศน์ "NEXT is NOW" ทำอนาคตให้เกิดขึ้นจริง โดยการสร้าง living solutions ให้จับต้องได้ เพื่อส่งมอบสู่ผู้อยู่อาศัย พร้อมกับการมุ่งสร้างกำไรและลดหนี้ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิในปี 66 ไว้ที่ 3 พันล้านบาท จากเป้ากำไรสุทธิในปีนี้ที่ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะสูงกว่าปีก่อนที่บริษัททำกำไรสุทธิได้ 1.78 พันล้านบาท
อีกทั้งบริษัทยังคงรักษาระดับมาตรฐานคุณภาพสูง SC Family จะเติบโตจาก 20,000 ครอบครัว ในปี 62 เป็น 35,000 ครอบครัว ในปี 66 โดยที่จะเป็นบริษัทที่รู้ใจผู้อยู่อาศัย และนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านของบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และความสำเร็จขององค์กรที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ บุคลากรองค์กร ซึ่งมีการสานต่อวัฒนธรรมองค์กรใหม่ในต้นปี 62 ที่ช่วยขับเคลื่อนบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากทั้ง 4 core values คือ care, courage, collaboration และ continous improvment
สำหรับในปี 62 บริษัทตั้งเป้ารายได้โต 22% มาอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.56 หมื่นล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้ายอดขายโต 46% มาอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมวางแผนเปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.27 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 9 โครงการ มูลค่า 6.5 พันล้านบาท ซึ่งมีทั้งโครงการบ้านและทาวน์โฮมซีรีย์ใหม่ในทุกระดับราคา ได้แก่ กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท สัดส่วน 71% และกลุ่มระดับราคาสูงกว่า 8 ล้านบาท สัดส่วน 29%
ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปีนี้จะเปิด 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.62 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการที่บริษัทพัฒนาเองในปีนี้ 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Crest มูลค่า 6 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Crest Park Residences ย่าน 5 แยกลาดพร้าว มูลค่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น Nishitetsu Group และโครงการ The Credt Asoke Residences มูลค่า 2.5 พันล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ จะพัฒนาโดยบริษัทลูก คือ บริษัท สโคป จำกัด มูลค่ารวม 1.02 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการระดับ Super Luxury ในทำเลย่านหลังสวยและ BTS ท่องหล่อ
ทั้งนี้ การขายในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ นับว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากบริษัทปล่อยแคมเปญ"โปร แม่รีบ" ทำให้กระตุ้นยอดขายในเดือนก.พ. ขึ้นมาที่ 300-400 ล้านบาท/สัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากปกติ 200 ล้านบาท/สัปดาห์ และยังเป็นผลจากการซื้อและโอนก่อนที่มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ขณะที่ปีนี้ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้บริษัทจะต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์และวางแผนแบบเดือนต่อเดือน โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ผลกระทบหลังมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ เพราะการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของลูกค้าในประเทศส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และยังต้องติดตามภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่รองรับการรับรู้รายได้ในอนาคต โดยสิ้นปี 61 มี Backlog ที่ระดับ 9.95 พันล้านบาท จะรับรู้รายได้ในปีนี้ 60% ส่วนที่เหลือทยอยโอนในปีต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะโครงการ 28 CHIDLOM จะเริ่มโอนในครึ่งหลังปีนี้ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 5 พันล้านบาท และยังเหลืออีก 3 พันล้านบาท ส่วนสต็อกพร้อมโอนของบริษัทในปัจจุบันที่มีอยู่ 1 หมื่นล้านบาท บริษัทก็จะเร่งระบายการขายออกไปเรื่อย ๆ โดยสต็อกส่วนใหญ่อยู่ในโครงการ SALADAENG ONE และ BEATNIQ รวมกว่า 5 พันล้านบาท
สำหรับในปี 66 ตั้งเป้าหมายรายได้จะอยู่สูงกว่าระดับ 2 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิแตะระดับ 3 พันล้านบาท ซึ่งกำไรส่วนใหญ่ยังมาจากการพัฒนาและขายที่อยู่อาศัย แต่จะมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เข้ามาเสริม โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 500-700 ล้านบาท ในปี 66 เนื่องจากบริษัทจะเพิ่มธุรกิจใหม่ที่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าในปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและมองหาพันธมิตรเข้ามาร่วมดำเนินการ
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ความคืบหน้าการเข้าลงทุนอพาร์ทเม้นท์ ในสหรัฐฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในครึ่งแรกปีนี้ โดยจะเข้าไปซื้ออพาร์ทเม้นท์ให้เช่าในเมืองบอสตัน ซึ่งมี 1 อาคารที่มีผู้เช่าแล้ว 90% และอีก 1 อาคาร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/62 คาดว่าจะมีมูลค่าการเข้าซื้อที่ 25-30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยโครงการดังกล่าวให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ต่อปี ขณะที่มีการปรับขึ้นค่าเช่าเฉลี่ย 5-10% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันโครงการให้อัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ที่ 15-20% ส่วนแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้ออพาร์ทเม้นท์ครั้งนี้จะมาจากเงินกู้ยืมสถาบันการเงินจากสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนโครงการอพาร์ทเม้นท์อื่น ๆ ในสหรัฐฯ เพิ่มเติม เพราะสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีความต้องการพักอาศัยในที่อยู่อาศัยประเภทดังกล่าวค่อนข้างมาก เพราะเป็นประเทศที่เป็นแหล่งงานและแหล่งการศึกษา ซึ่งบริษัทเตรียมงบลงทุนไว้สำหรับการลงทุนในอพาร์ทเม้นท์แห่งใหม่เพิ่มเติมราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ