นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum หัวข้อ "เจาะลึก Mega Trend เปลี่ยนโลก : เฮลธ์แคร์โอกาสสร้างกำไรต้านแรงผันผวน"ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยในไตรมาส 1/2562 คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ที่ 1.9% จากผลกระทบของ Government Shutdown ขณะที่เศรษฐกิจยุโรป จีน ญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่ก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ด้านสถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ในส่วนของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากภาคต่างประเทศ โดยส่งออกยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสงครามการค้า การท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอลงจากนักท่องเที่ยวจีน ส่วนอุปสงค์ในประเทศที่เดิมคาดว่าจะมาชดเชยภาคต่างประเทศได้นั้น อาจไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างแข็งแกร่ง จึงเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ตลอดทั้งปีนี้
หากพิจารณาในด้านการลงทุน ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ การส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน โดยเรามองว่าจากนี้ตลาดหุ้นโลกมี Upside ค่อนข้างจำกัด เพราะตลาดได้ซึมซับข่าวด้านบวกไปมากแล้ว ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจค่อนข้างน่าผิดหวัง จึงมีความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานลงมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ตามปกติกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งในยามที่เศรษฐกิจเป็นขาลง ผลกำไรของตลาดหุ้นก็จะหดตัวตามไปด้วย ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงปลายวัฏจักร จึงควรเน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลกำไรไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจโลกมากนัก และยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในระยะยาว เช่น ในกลุ่ม Global Health Care ซึ่งได้ประโยชน์จาก Megatrend ของสังคมผู้สูงอายุ ทำให้กลุ่มนี้มีกำไรเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงเศรษฐกิจหดตัว
ยกตัวอย่าง กลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ จากข้อมูลย้อนหลังในช่วงเศรษฐกิจถดถอย 3 ครั้งล่าสุดในปี 2533, 2544 และ 2551 ในช่วงเวลาเดียวกัน กำไรของบริษัทของกลุ่ม Health Care สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 9%, 9% และ 4% ตามลำดับ ขณะที่กำไรของตลาดหุ้นโดยรวม (ดัชนี S&P50) ลดลงถึง 28%, 22% และ 36% ตามลำดับ นอกจากนั้นอัตราการขยายตัวในระยะยาวยังดีกว่าตลาดโดยรวม โดยหากนับจากปี 2533 ถึง 2561 หุ้นในกลุ่ม Health Care ของสหรัฐฯ มีกำไรเติบโต 1,356% สูงกว่าตลาดโดยรวมถึงกว่า 1 เท่าตัว (กำไรของดัชนี S&P500 โต 520% ในช่วงเดียวกัน)
นอกจากนั้น หากพิจารณาในแง่ของราคา หุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ ปัจจุบันเทรดที่ Forward P/E 15.3 เท่า ต่ำกว่าดัชนีรวม S&P500 ซึ่งเทรดที่ 15.6 เท่า เป็นราคาที่มี Discount จากตลาด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยระยะยาว หุ้นกลุ่ม Health Care เทรดที่ P/E Premium จากตลาดราว 10% นับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก
"ในยามที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฏจักร และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยเริ่มทยอยมากขึ้น การตั้งเป้าหมายการลงทุนอาจต้องเปลี่ยนไป จากเดิมที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนสูงสุดในยามที่เศรษฐกิจเป็นขาขึ้น เป็นการเน้นการบริหารความเสี่ยงและรักษาเงินต้นในยามที่เศรษฐกิจโลกดูเปราะบางขึ้น โดยในกลุ่ม Global Health Care น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมกับภาวะการลงทุนในปัจจุบัน" นายคมศร กล่าว
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ปัจจุบันหุ้นกลุ่ม"เฮลธ์แคร์" และกลุ่ม"เทคโนโลยี"ถือเป็นเมกะเทรนด์ที่น่าลงทุนที่สุดในช่วงนี้ เพราะด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าทำให้มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวขึ้นประกอบกับสังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก ยิ่งผลักดันให้ความต้องการดูแลรักษาสุขภาพและการแพทย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้นมากจนสามารถเข้าไปแทรกซึมอยู่ในอุตสาหกรรม รวมถึงชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกเพศทุกวัยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
"การลงทุนในเมกะเทรนด์มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เห็นได้จากราคาหุ้นของ Amazon และ Apple ซึ่งเป็นหุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์เทคโนโลยี ได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 2,000% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น หากนักลงทุนสามารถประเมินอนาคตได้ถูกต้อง มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานพอ พร้อมทั้งมีความเข้าใจต่อความผันผวนในระยะสั้น ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้" นายสาห์รัช กล่าว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการได้รับโอกาสการลงทุนที่ดีจากการลงทุนในเมกะเทรนด์ดังกล่าว บลจ.ทิสโก้มีกองทุนเด่นที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ 3 กองทุน คือ 1. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุน CS (Lux) Global Digital Health Equity ชนิดหน่วยลงทุน IB USD (กองทุนหลัก) เน้นลงทุนในบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลก
2. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เฮลธ์แคร์ สตาร์ พลัส (TGHSTARP) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่มีศักยภาพสูงทั่วโลกผ่านกองทุนรวมเฮลท์แคร์ต่างประเทศทั้งประเภทกองทุนที่มีนโยบายเชิงรุก (Active) และ อีทีเอฟ โดยมีจุดเด่นคือผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนเฮลท์แคร์ต่างๆ ที่มีผลงานบริหารกองทุนที่โดดเด่น และมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับแนวทางของทางผู้จัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้
3. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล เทคโนโลยี อิควิตี้ (TISTECH) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) มุ่งลงทุนเฉพาะเจาะจงในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology) กระจายการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศและ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศอย่างน้อย 2 กองทุน อย่างไรก็ตาม กองทุน TGHDIGI, TGHSTARP และTISTECH ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
ในมุมของกลุ่มประเทศที่น่าสนใจในช่วงนี้ บลจ.ทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นจีนและไทยสามารถเข้าลงทุนได้ โดยปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ผลจากการเจรจาด้านการค้ากับสหรัฐฯ เริ่มมีความคืบหน้า ประกอบกับหุ้นจีนถูกนำเข้ามาคำนวณรวมในดัชนี MSCI และทางการจีนประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายและกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง จึงยังมีโอกาสไปได้ต่อ ขณะที่ประเทศไทยมีปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้งในประเทศรออยู่ ซึ่งหลังจากนี้อาจได้เห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้ออีกครั้ง แต่ยังต้องติดตามเรื่องผลการเลือกตั้งว่ารัฐบาลจะมีการรวมพรรคการเมืองใดบ้าง รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่อาจเติบโตแบบชะลอตัว ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามสถานการณ์
สำหรับกองทุนเด่นในส่วนนี้ บลจ.ทิสโก้มี 2 กองทุนด้วยกันคือ 1. กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า สตาร์ พลัส (TCHSTARP) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) มีนโยบายลงทุนในประเทศจีนผ่านกองทุนรวมต่างๆ รวมทั้งอีทีเอฟ โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกและกระจายการลงทุนไปยังกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และ 2. กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ (TSF) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีประมาณ 15-20 บริษัท โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดี และจะปรับเปลี่ยนหุ้นอย่างสม่ำเสมอให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละขณะ