บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปีนี้แตะระดับ 1,700-1,800 จุด คาดว่าดัชนีจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนช่วงปลายไตรมาส 2/62 โดยเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) น่าจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงปลายเดือน มี.ค.62 ราว 3-4 หมื่นล้านบาท หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลาย การเลือกตั้งในประเทศทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ
ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้จะเติบโตราว 7% โดยแนะนำลงทุนกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และกลุ่มค้าปลีก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย SCBS กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน ม.ค.-ก.พ.62 บรรยากาศการลงทุนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นหากเทียบกับปลายปีที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนผ่อนคลายจากปัจจัยกดดันทั้งกรณีแนวโน้มดอกเบี้ยของธนาคารสหรัฐ (เฟด) ที่คาดการณ์ว่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้คลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกจะเข้าภาวะถดถอยในระยะถัดไป
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 2/62 และอาจจะร้อนแรงในไตรมาส 3/62 โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบเป้าดัชนีที่ประเมินไว้ 1,700-1,800 จุด อิงกับกำไร บจ.เติบโต 7% และ P/E เฉลี่ย 15 เท่า เนื่องจากผลประกอบการ บจ.จะกลับมาเติบโตชัดเจนอีกครั้ง ภายหลังจากไตรมาส 4/61 กำไรลดลงอย่างมาก โดยผลกระทบส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มพลังงานที่ประสบกับการขาดทุนสต็อกน้ำมัน ซึ่งเชื่อว่าหากผ่านพ้นช่วงการปรับลดประมาณการในช่วงต้นปีนี้ไปแล้ว น่าจะเห็นราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีกลับมาฟื้นตัวขึ้นมาชี้นำตลาดได้อีกครั้ง
หัวหน้าฝ่ายวิจัย SCBS ประเมินแนวโน้มกระแสเงินลงทุนต่างชาติว่า ในระยะสั้นคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนของเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในชวงปลายเดือน มี.ค.นี้ราว 3-4 หมื่นล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากผลการเจรจาการค้าจีนและสหรัฐที่ผ่อนคลายความตึงเครียดลง ,สถานการณ์ที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ออกมาชัดเจน,การเลือกตั้งในประเทศวันที่ 24 มี.ค.ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือการจัดตั้งรัฐบาลจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรและการเมืองมีเสถียรภาพมากน้อยหรือไม่
กลุ่มอุตสาหกรรมที่แนะนำลงทุน กลยุทธ์ระยะสั้นเลือกกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เนื่องจากไตรมาส 4/61 ราคาน้ำมันโลกปรับฐานแรงกระทบกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เชื่อว่าไตรมาสแรกของปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวเด่นชัดตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
ส่วนกลยุทธ์ระยะกลางเน้นกลุ่มอิงการบริโภคในประเทศฟื้นตัว อาทิ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มที่อิงกับการลงทุนของภาครัฐและเอกชน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องระมัดระวัง คือ กลุ่มส่งออก หลังเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ระยะสั้นอาจกระทบจากมาตราการ LTV แต่ราคาหุ้นก็ตอบรับผลกระทบไปพอสมควรแล้ว ดังนั้นหากลงทุนควรเลือกหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าเพิ่มน้ำหนักทั้งกลุ่ม
"เชื่อว่าทุกคนคงกังวลปัจจัยการเมือง แต่อยากให้ทราบว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน ถ้าหากดดัชนีฯย่อตัว มองว่ากรอบ 1,630 จุด นับเป็นจังหวะเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุน เพราะหากมองเป้า 1,800 จุดมีอัพไซด์ใกล้ๆ 8% บวกกับเงินปันผลอีก 3% ทำให้กลยุทธ์สร้างผลตอบแทนในระดับ 10% ก็มีความเป็นไปได้สูง"นายสุกิจ กล่าว