นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ภัทร กล่าวในงานสัมนาหัวข้อ"รับมือตลาดผันผวน กองทุนเด่นปี 2019" จัดโดยธนาคารไทยพาณิชย์ว่า ภาวะการลงทุนในช่วงนี้ยังต้องระมัดระวังกับความเสี่ยงให้มากขึ้น แม้ปัจจัยนอกประเทศจะเริ่มคลี่คลาย แต่มองว่ากรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย เป็นสิ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะไม่ได้เติบโตต่อเนื่อง หรือเข้าสู่ภาวะการชะลอตัวก็เป็นไปได้ ขณะที่สถานการณ์ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ยังไม่ได้ยุติลง ซึ่งผลกระทบต่าง ๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลกน่าจะยืดเยื้อต่อไป
ส่วนประเด็นในประเทศ เรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนมีนาคมนี้ เป็นสิ่งที่ต้องจับตาว่าโครงสร้างรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร นโยบายด้านเศษฐกิจ ลงทุนเมกะโปรเจคต์จะยังเดินหน้าต่อเนื่องได้หรือไม่
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังคงให้น้ำหนักลงทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ ในระดับ "Underweight" เพราะยังระมัดระวังความเสี่ยงที่อาจกระทบให้อัตราผลตอบแทนลดลงในอนาคต ซึ่งในมุมมองแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 1,640 จุด หรือเคลื่อนไหวได้ในกรอบ 1,500-1,750 จุด อิงกำไรของบริษํทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้เติบโต 6% โดยในเชิงมูลค่าเองยังไม่ถูก และการเติบโตยังไม่ได้น่าสนใจมากนัก ปัจจุบันยังเน้นกระจายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และควรเน้นถือเงินสดมากกว่าปกติ เพื่อเป็นกระสุนรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ด้านนายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ กล่าวว่า แม้บรรยากาศการลงทุนจะเริ่มฟื้นตัวจากปลายปีก่อน ซึ่งเชื่อว่าอัพไซด์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสทดสอบเป้า 1,720-1,750 จุด แต่ที่น่ากังวลคือในปี 63 อัพไซด์ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะมีกรอบจำกัดใกล้ ๆ 1,800 จุดเท่านั้น ฉะนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทั้งหมดของพอร์ตเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวจึงไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศยังไม่นิ่ง ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการกระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยด้วย
"ถ้าจัดพอร์ตแล้วต้องการชนะเงินเฟ้อ แนะนำลงทุนในสินทรัพย์ในตลาดโลก โดยเฉพาะกองทุนหุ้นในต่างประเทศที่มีการการันตีเงินต้น แม้จะได้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร แต่ก็นับว่ายังสูงกว่าถือระยะยาวรับเงินปันผล หรือดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว"นายพจน์ กล่าว
ด้านนายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังเชื่อว่ามีโอกาสทดสอบ 2,000 จุดภายใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งภายหลังจากการเลือกตั้งชัดเจน สามารถจัดตั้งรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ต่อเนื่อง น่าจะช่วยกระตุ้นกระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป ทั้งนี้ มองว่าหากดัชนีฯปรับฐานแถว 1,500-1,600 จุด ก็นับเป็นจังหวะสะสมหุ้น แล้วรอจังหวะขายทำกำไรเมื่อดัชนีฯกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง