นายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้เปิดโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 16 ล้านหุ้นคิดเป็น 1% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ในวงเงินรวมไม่เกิน 40 ล้านบาท และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืน 6 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคมถึงวันที่ 12 กันยายน 2562
สำหรับเหตุผลของการซื้อหุ้นคืน เนื่องจาก การซื้อหุ้นคืนมีผลทำให้อัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากจำนวนหุ้นที่ลดลงจากการซื้อคืน รวมทั้งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมในขณะที่จำนวนหุ้นลดลง ขณะที่บริษัทต้องการสื่อสารว่ายังมีความเชื่อมั่นต่ออนาคตของธุรกิจ
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนจะเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น เนื่องจากหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่นำมารวมในการคำนวณกำไรต่อหุ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนจะไม่มีผลกระทบกับสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯ เนื่องจากปัจจุบันมีกระแสเงินสดประมาณ 1,250 ล้านบาท และในช่วง 6 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับจากลูกหนี้ตามมูลค่างานอีก 760 ล้านบาท ส่งผลให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินการซื้อหุ้นคืน
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 62 บริษัทฯ มุ่งเน้นขยายตลาดในต่างประเทศให้หลากหลายอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น เช่น น้ำมันและก๊าซ เหมืองแร่ พลังงานทดแทน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าปัจจุบันทั่วโลกยังคงมีงานในอุตสาหกรรมหนักอยู่อีกจำนวนมาก ทำให้บริษัทยังคงตั้งเป้าเข้ายื่นประมูลงานใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อขยายฐานลูกค้า และเสริมสร้างฐานรายได้ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้ง ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละประเทศอีกด้วย
ปัจจุบัน บริษัทฯมีปริมาณงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,900 ล้านบาท และได้เข้ายื่นประมูลงานใหม่ในต่างประเทศ หลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นงานในส่วนของโครงการ High Potential ทั้งหมดนั้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท และบางโครงการคาดว่าจะทราบผลการประมูลภายในครึ่งปีแรกของปี 62
ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาของโครงการ Santos Onshore Upstream Development Project ร่วมกับ Santos QLD Upstream Development Pty Ltd. (Santos GLNG) ในประเทศออสเตรเลีย มูลค่าโครงการแบ่งเป็นปีที่ 1 จำนวน 12.3 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 281 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีระยะเวลาสัญญาทั้งหมด 3 ปี ทยอยลงนามสัญญาเป็นรายปี จากปริมาณงานตามที่ได้รับแจ้งจากลูกค้าคาดว่าสัญญาปีที่ 2 (ปี 63-64) และปีที่ 3 (ปี 64-65) จะมีมูลค่าสูงกว่าสัญญาปีแรก ซึ่งเป็นงานลักษณะการจัดหาและการแปรรูปโลหะเพื่อก่อสร้างชุดขุดเจาะแก๊สบนบก ในโครงการพัฒนาแหล่งแก๊สต้นน้ำ
นายสุทธิ ทั่งศรี ผู้จัดการฝ่ายงานสัญญาโครงการ BJCHI กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้น โดยจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 231.21 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเป็นไปตามรายได้ที่ตั้งเป้าจะเติบโตขึ้นเป็นเกือบ 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 943.90 ล้านบาท
"เรามองว่าปีนี้น่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ จากปีก่อนที่ผลการดำเนินงานติดลบจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน แต่ปีนี้และปีหน้าถ้าค่าเงินบาทยืนเหนือระดับปัจจุบันได้ ก็จะทำให้เรามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามา ประกอบกับเรายังตั้งเป้ารายได้จะเติบโตเป็นเท่าตัวแตะ 2,000 ล้านบาท จึงเชื่อว่าในปีนี้ผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้น"นายสุทธิ กล่าว
รายได้ส่วนใหญ๋ในปีนี้จะมาจากการรับรู้ Backlog ที่ปัจจุบันมีอยู่ 1,902 ล้านบาทเข้ามาทั้งหมด ได้แก่ โครงการ UPGN Comperj Project ของ Kerui Metodo Construcao e Montagem S.A มูลค่างานรวม 1,383 ล้านบาท, โครงการ Galvanized มูลค่า 61 ล้านบาท, โครงการ Phase 4B BLWPC and Decks Fabrication and Transportation ของ Ophir Thailand (Bualuang) Limited มูลค่า 150 ล้านบาท, โครงการ Cobre Panama มูลค่า 4 ล้านบาท และโครงการ Santos Onshore Upstream Development Project ร่วมกับ Santos QLD Upstream Development Pty Ltd. (Santos GLNG) ในประเทศออสเตรเลีย มูลค่า 304 ล้านบาท
ขณะที่งานที่เข้ายื่นประมูลเพิ่มเติม ส่วนใหญ่จะเป็นงานประเภท Oil&Gas บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อ.ศรีราชา และประเทศสิงค์โปร โดยเป็นงานโครงการ High Potential จำนวน 7-8 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท คาดว่าจะรู้ผลประมูลทั้งหมดภายในปีนี้ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับงานดังกล่าว และจะรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้บางส่วน ขณะเดียวกันยังมีแผนเข้าประมูลงานโครงการ LNG ในประเทศแคนนาดาและประเทศโมซัมบิก
นอกจากนี้บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 40-50 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงานเพื่อรองรับการขยายงาน