นายปรีชา นันท์นฤมิต ประธานกรรมการ บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโต 15% จากปีก่อน จากการพัฒนาประสิทธิภาพในการขาย ขยายตลาดในฐานลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่ ผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีการเติบโตได้แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวย
อนึ่ง EFORL แจ้งผลประกอบการปี 61 มีรายได้รวม 2,398.51 ล้านบาท ลดลง 4% จากปี 60 โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 2,060 ล้านบาท ลดลง 17% ขณะที่มีผลขาดทุนสุทธิ 166.31 ล้านบาท ลดลงจากขาดทุน 1,163.11 ล้านบาทในปี 60
ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 62 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ขณะที่แพทย์มีฐานข้อมูลประกอบการในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และการให้บริการแพทย์สาธารณสุข ซึ่งบริษัทถือเป็นผู้คิดค้นและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ปัจจุบันมีการนำ Data เข้ามาร่วมในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลต่างๆ
ในปีนี้บริษัทฯได้คิดค้นและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ 1.โปรแกรมระบบเตือนและเฝ้าระวังป้องกันการติดเชื้อในกระแสโลหิตล่วงหน้า Early Warning Score Program (EWS) 2.ระบบอิเล็กทรอนิกส์เวชระเบียนงานระงับความรู้สึก (Anesthesia Record System) ซึ่งเป็นโครงการระยะที่สองร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาลัยมหิดล 3.โปรแกรมระบบการดู ส่งต่อและเก็บข้อมูลคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ร่วมกับระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล แบบอัตโนมัติ 4.โปรแกรมระบบส่งต่อข้อมูลของเครื่องวัดความดันโลหิต และรวมถึงทั้งห้องปลอดเชื้อ (Clean Room) เพื่อป้อนตลาดโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยหลายแห่ง
นายปรีชา กล่าวว่า บริษัทพยายามสร้างกำไรในธุรกิจเครื่องมือแพทย์เพิ่มขึ้น ซึ่งการที่ภาครัฐมีนโยบาย 4.0 ด้านซอฟต์แวร์ ทำให้เป็นผลดีทางการแพทย์โดยรวม รวมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องมือแพทย์ด้วยเช่นกัน ที่ผ่านมาเรามีการคิดค้น Data ลงในสมาร์ทโฟนเพื่อช่วยในการดูแล รักษา และปัจจุบันก็ขยายผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม
ล่าสุด บริษัทมีงานในมือที่เป็นเครื่องมือแพทย์ในห้อง ICU และห้องผ่าตัด มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท และอยู่ระหว่างประมูลเพิ่มเติม
ส่วนขยายธุรกิจความงามอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทำโรงพยาบาลศัลยกรรมความงาม การสร้างสาขาแบบ cosmetic shop การปรับปรุงสาขาให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค การเพิ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสินค้าใหม่ๆ การขยายสาขาในระบบ Franchise ให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าและตลาดเป้าหมายมากยิ่งขึ้น