JCK เร่งพัฒนานิคมฯ"ทีเอฟดี 2" วางเป้าขายปีนี้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ ,เล็งคลอดกอง REIT มูลค่า 2-2.5 พันลบ.สิ้นปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 12, 2019 11:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บมจ.เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2562 สำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม คาดว่าจะมียอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 2 ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ เนื่องจากคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกจำนวนมาก โดยปัจจุบันการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 มีความคืบหน้าไปกว่า 65% และคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาส 3/62

ทั้งนี้ คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันผลประกอบการของบริษัทในปี 2562 ให้เติบโตต่อเนื่องจากปี 2561 เพราะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีอัตรากำไรค่อนข้างสูง และปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายราย ทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ประกอบมีโลเกชั่นที่ดี ติดตลอดแนวถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดทำให้ที่ดินของนิคมฯทีเอฟดี มีความน่าสนใจมากขึ้น

ส่วนธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 2562 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าในไทย ซึ่งเป็นคลังสินค้าให้เช่า มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปีนี้น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตารางเมตร เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตารางเมตร จะทำให้ยอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตารางเมตร

อย่างไรก็ตามบริษัทมีนโยบายจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งน่าจะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000-2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4/62 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2563

นอกจากนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายโรงงานและคลังสินค้าที่บางเสาธง จำนวน 2 หลัง ซึ่งเป็นโรงงานว่าง 1 หลัง และที่เช่าอยู่แล้ว 1 หลัง คาดจะโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาสที่ 1/62 มูลค่าขายรวมประมาณ 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาขายเพิ่มเติมอีก 1 หลัง ซึ่งเร่งจะปิดขายให้ได้ภายในไตรมาส 1/62

สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกือบ 60% มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 30% บริษัทคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ