นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) (TOA) คาดว่า ในปี 62 บริษัทจะมีรายได้จากการขายเติบโต 10% มาที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยรายได้จากในประเทศน่าจะเติบโต 5-9%. ส่วนรายได้ในตลาดต่างประเทศน่าจะขยายตัวราว 10%
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศ 86% และตลาดต่างประเทศ 14% ซึ่งตลาดเวียดนามมีสัดส่วนราว 8%
บริษัทคาดว่าในปีนี้จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้น 16% มาที่ 102 ล้านแกลลอน จากการสร้างฐานการผลิตใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานผลิตสีแห่งใหม่ ในเขตนิคมอุตสาหกรรม Kawasan Industri Millenium ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยพร้อมเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2562
การสร้างโรงงานผลิตสีแห่งใหม่ รวมถึงการจัดตั้งโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวาของเมียนมา ซึ่งทำการย้ายมาจากย่างกุ้ง และการสร้างโรงงานผลิตสีแห่งที่ 2 ในเขตเศรษฐกิจพิเศษพนมเปญ ประเทศกัมพูชา คาดว่าโรงงานทั้งสองแห่งนี้จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ ภายในไตรมาส 3/62 และไตรมาส 4/62 ตามลำดับ ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของอัตราการใช้สีที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนสินค้า เพิ่มโอกาสการขยายตัวด้านช่องทางการจัดจำหน่ายให้เติบโตและช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านกลไกการตลาดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายจตุภัทร์ กล่าวว่าในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายยังคงทรงตัวแม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจะดูซบเซา แต่ก็ยังไม่กระทบกับยอดขายมากนัก อย่างไรก็ดีคาดว่าหลังการเลือกตั้งประชาชนมีความมั่นใจเศรษฐกิจมากขึ้นและจะมีการใช้จ่าย โดยตลาดสี มาจากบ้านเก่า 70% และบ้านใหม่ 30%
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนปีละ 1% เป็นอย่างน้อยในช่วง 5 ปีคาดว่าจะสัดส่วนเพิ่มเป็น 19% และเพิ่มเป็น 25%ในช่วง 10 ปี หรือเร็วสุดใน 7-8 ปี โดยการเพิ่มดีลเลอร์ในแต่ละประเทศ
ด้านกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) น่าจะเติบโตทิศทางเดียวกับรายได้ แต่ราคาวัตถุดิบที่นำเข้าและอิงกับราคาน้ำมัน ทำให้ EBITDA ผันผวนตาม โดยปัจจุบันบริษัทยังพอใจกับระดับค่าเงินบาทและราคาน้ำมัน โดยมองเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์ และราคาน้ำมันดิบไม่เกิน 60 เหรียญ/ออนซ์ เป็นจุดที่พอใจ
นายจตุภัทร์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 600 ล้านบาท แบ่งเป็น 200-300 ล้านบาทใช้ซ่อมบำรุงเครื่องจักรในโรงงานเดิม และอีก 300 ล้านบาทเป็นการลงทุนโรงงานใหม่ต่อเนื่องจากที่ได้ลงทุนสร้างโรนงานผลิตสีแห่งใหม่ที่อินโดนีเซีย กำลังการผลิต 7.8 ล้านแกลอน เงินลงทุน 620 ล้านบาท โรงงานในเมียนมา กำลังการผลิต 3.4 ล้านแกลลอน ใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาท และ โรงงานในกัมพูชา กำลังการผลิต 3.3 ล้านแกลลอน ใช้เงินลงทุน 250 ล้านบาท
"ตลาดต่างประเทศ เป็นตลาดใหญ่ เราได้สร้างฐานใน 7 ประเทศ จะมีการเติบโตมหาศาล ขณะที่ตลาดในไทยก็เติบโตมาก...ปีนี้เร่งการเติบโตธุรกิจในไทย คาดจะโตช่วง high - middle digit ส่วนต่างประเทศ เราคาดเติบโต 10% หรือโต 2 หลัก "นายจตุภัทร์ กล่าว
การลงทุนตั้งโรงงานใหม่ดังกล่าว จะทำให้บริษัทมีโรงงานผลิตสี จำนวน 10 แห่ง ครอบคลุมทั้งหมด 7 ประเทศ รวมประเทศไทยที่มีโรงงานผลิตสี 3 แห่ง และมีโรงงานอีก 7 แห่งในเวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา และกัมพูชา รวมทั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ฉาบบาง (Skim Coat) อีกหนึ่งแห่งในกัมพูชา
ปัจจุบัน TOA มีส่วนแบ่งตลาด 48.7% ในไทย ถือเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนตลาดต่างประเทศมีส่วนแบ่งตลาด 13% ในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นายจตุภัทร์ กล่าวว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำตลาดสีในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และบริการแบบครบวงจร โดยมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน คือ การเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเทศไทยด้วยการพัฒนานวัตกรรมสีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้สีให้มากขึ้น ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (Decorative Paint and Coating Products) ที่ถือเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ กว่า 68.4% ของรายได้จากการขาย ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม รับประกันความทนทานนาน 15 ปี, 12 ปี อาทิ ซุปเปอร์ชิลด์ และทีโอเอ ชิลด์ วัน นาโน ตามลำดับ และเกรดปานกลางถึงเกรดอีโคโนมี่ รับประกันความทนทานนาน 8 ปี, 5 ปี เช่น โฟร์ซีซั่นส์และเป็ดหงส์ ตามลำดับ เป็นต้น
รวมถึงการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (Non-Decorative Paint and Coating Products) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีที่มีความทนทานสูง ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวสำหรับงานไม้ ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ และผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากสีทาอาคารอื่น
โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ออกสายผลิตภัณฑ์ใหม่ (Product Line) สำหรับเครื่องผสมสีอัตโนมัติ (TOA Auto Tinting Machine) ในรุ่น X-Series ที่มีขนาดเล็ก ราคาประหยัดลง แต่ประสิทธิภาพเยี่ยมเทียบเท่าเครื่องขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ค้าปลีกขนาดเล็กและรองรับการขยายเมืองไปสู่ในเขตชานเมืองที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยปี 61 บริษัทฯ มีเครื่องผสมสีอัตโนมัติจำนวนทั้งสิ้น 6,581 เครื่อง แบ่งเป็นในประเทศไทยจำนวน 4,428 เครื่อง และในตลาดเออีซีอีกจำนวน 2,153 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็น 9%
นอกจากนี้ บริษัทได้ประกาศผังโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยแต่งตั้งนายประกรณ์ เมฆจำเริญ ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่อย่างเป็นทางการ มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.62 เป็นต้นไป