นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติแผนการลงทุน NT 11 กลุ่มไม้สังเคราะห์ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตันรองรับความต้องการใช้สินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการซื้อเครื่องจักรและติดตั้งพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 14-15 เดือน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 มั่นใจว่าจะผลักดันการเติบโตได้ตามเป้าหมาย หลังจากขีดความสามารถการแข่งขันในการทำตลาดวัสดุก่อสร้างภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินกลยุทธ์การตลาดภายใต้แนวคิด 'สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง’ ที่มุ่งสื่อสารสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ‘ตราเพชร’ ที่นำไปใช้ก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและเลือกซื้อสินค้า ‘ตราเพชร’ เพิ่มสูงขึ้น
ด้วยปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้สินค้าทุกกลุ่มทั้งระบบหลังคา และกลุ่มสินค้าผนังและพื้น มีอัตราการเติบโตที่ดี ขณะที่ผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบาก็มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและตั้งเป้ามีกำไรในปีนี้ เช่นเดียวกับช่องทางการจัดจำหน่ายทั้ง 4 ช่องทาง ได้แก่ ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการและต่างประเทศที่มีอัตราขยายตัวได้ดีขึ้นเช่นกัน รวมถึงบริหารจัดการด้านต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและการบริหาร Product Mix จะช่วยรักษาอัตราการกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ให้อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 25-27%
นอกจากนี้ DRT จะรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 80-90% จากฐานการผลิต 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ขอนแก่นและเชียงใหม่ ที่มีกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์และผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา รวมกันมากกว่า 1 ล้านตันต่อปี โดยก่อนหน้านี้ได้ลงทุนติดตั้งระบบโรบอทภายในโรงงานเพื่อรับมือปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะยาว คาดว่าเริ่มใช้งานได้ภายในเดือนมีนาคมนี้
"ยอดขายช่วง 2 เดือนแรกของเราอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากเรามีสินค้าที่หลากหลายและปีที่ผ่านมาได้เร่งเสริมทีมช่างติดตั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการ ส่งผลดีต่อคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาวะค่าเงินบาทที่ผันผวนในช่วงต้นปี โดยมีบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ได้ส่งผลด้านลบกับบริษัทฯ แต่กลับเป็นผลดีในเรื่องต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ" นายสาธิต กล่าว
ส่วนไตรมาส 2/62 คาดว่าจะรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทพยายามเร่งการผลิตและเน้นการบริหารจัดการด้านสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภค หลังจากได้ลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้ารองรับการเพิ่มปริมาณการจัดเก็บสต๊อกสินค้า