MTS Gold Group มองเลือกตั้งหนุนตปท.เชื่อมั่นดันเงินไหลเข้า-บาทแข็ง กดดันราคาทองคำไทยแกว่งกรอบ 19,200-19,600 บาท

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 18, 2019 09:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold Group แม่ทองสุก เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งในประเทศสำเร็จจะสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างประเทศ โดยมีโอกาสทำให้เม็ดเงินไหลเข้าและเงินบาทแข็งค่า ซึ่งจะเป็นแรงกดดันทำให้ราคาทองคำไทยลดลง อย่างไรก็ดีบริษัทคาดว่าทิศทางราคาทองคำไทยหลังเลือกตั้งจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับที่ 19,200 บาท/บาททองคำ และมีแนวต้าน 19,600 บาท/บาททองคำ

ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่มากกว่าระดับ 1,360 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1,350 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งหากสามารถทะลุไปได้มีโอกาสขึ้นไปที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ทั้งนี้บริษัทมองว่าในระยะยาวมีโอกาสเห็นดอลลาร์อ่อนค่าลงจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากหรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยเลย

อย่างไรก็ตาม หากกรณีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเป็นไปด้วยดี จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงได้แต่ไม่ต่ำกว่า 1,220 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1,250 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยยังเชื่อว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นมากกว่าลดลง

นพ.กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า บริษัทถือเป็นผู้นำการลงทุนทองคำครบวงจรทั้งให้บริการซื้อขายทองคำแท่งและรูปพรรณ เป็นผู้ส่งออกทองคำรายใหญ่ของไทยและได้ทำการขยายตลาดซื้อขายไปยังฮ่องกงและสิงคโปร์ รวมถึงได้รับสิทธิเป็นโบรกเกอร์ทองคำที่ซื้อขายใน CME Group ตลาดสินค้าอนุพันธ์ระดับโลก เพื่อเป็นช่องทางให้นักลงทุนไทยได้เข้าถึงการลงทุนในสินค้าที่หลากหลายและมีมาตรฐานระดับโลก

ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นในการหาทางเลือกการลงทุนให้มีความหลากหลายและครบวงจรเพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งการร่วมมือกับ CME Group ในการซื้อขายทองคำและน้ำมันมองว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และความร่วมมือที่เกิดขึ้นถือเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของทั้งตลาดที่จะมีสินค้าเพิ่มขึ้น และเพื่อสร้างนักลงทุนไทยให้มีความรู้และมีคุณภาพ ตลอดจนสร้างผลตอบแทนในระดับที่ดี

ด้านนายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร MTS Gold Group เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทมีแผนขยายตลาดการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าเพิ่มเติมเพื่อให้ตอบโจทย์การลงทุนกับนักลงทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้ายางพาราในตลาด TOCOM ประเทศญี่ปุ่น และตลาดในเซี่ยงไฮ้ รวมถึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนซื้อขายน้ำตาลเพิ่มเติมด้วย จากเดิมที่ให้บริการซื้อขายทองคำและน้ำมัน

พร้อมกันนี้บริษัทได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลงทุนสมัยใหม่ อาทิ การลงทุนในสินค้า Gold Online หรือการซื้อขายทองคำระบบออนไลน์รายแรกของไทย, การบริการเครื่องมือ Meta Trader 5 หรือ MT5 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนในการซื้อขายทองคำผ่านสมาร์ทโฟน รวมไปถึงมีการร่วมมือเป็นพันธมิตรด้านการลงทุนกับบริษัท ซุปเปอร์ เทรดเดอร์ จำกัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุน และบริษัท สกายเน็ต ซิสเต็มส์ จำกัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระบบเพื่อการส่งคำสั่งซื้อขายจากระบบเทรด (Algorithmic Trade)

ด้านนายพิพัฒน์ รุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกายเน็ต ซิสเต็มส์ จำกัด ในเครือบมจ. เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น (AS) เปิดเผยว่า การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของตลาดการลงทุนไทย ที่มีการใช้เทคโนโลยีระบบ Social Trading Platform ที่รองรับ Algorithm และ AI ได้ในระดับ Deep Learning ซึ่งสามารถจัดอันดับให้นักลงทุนทั่วไปขอติดตามและตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้ และทำให้การลงทุนในตลาดต่างประเทศมีความสะดวกขึ้นและถูกต้องตามกฎเกณฑ์

ทั้งนี้ ระบบ Social Trading Platform จะสามารถทำให้นักลงทุนรายใหม่เข้ามาศึกษาและติดตามการลงทุนได้จากผู้นำการลงทุน หรือ "มาสเตอร์" ในการซื้อขายเพื่อทำกำไร โดยปัจจุบันมีมาสเตอร์เข้ามาในระบบเพื่อเริ่มซื้อขายและแสดงศักยภาพในการทำกำไรแล้วกว่า 100 ราย ซึ่งบริษัทคาดว่าจะใช้เวลาราว 3-6 เดือนในการเก็บข้อมูลเพื่อเห็นประสิทธิภาพจากสถิติการทำกำไรได้

โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการให้บริการแพลตฟอร์มดังกล่าวแล้วในตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency) ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีและมีสถิติการทำกำไรได้สูงถึง 80% จากนักลงทุน แต่ต้องหยุดการพัฒนาไปเมื่อสิ้นปี 61 เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษีจากกำไรการลงทุน (capital gain tax) และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ