ASP คาดรายได้-กำไรปีนี้โตดีกว่าปีก่อน หลังมุ่งเน้นธุรกิจบริหารจัดการกองทุน,Wealth management,Investment

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 19, 2019 16:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิทเยนท์ อัศวนิก กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.16 พันล้านบาท และ 434.20 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากบริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (Asset management) โดยมีแผนออกกองทุนใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ประมาณ 10 กองทุน ซึ่งต้นปีที่ผ่านมาออกไปแล้ว 2-3 กองทุน และธุรกิจ Wealth management จะมุ่งเน้นการให้คำปรึกษาแก่นักลงทุน โดยให้พนักงานสอบเป็นผู้วางแผนการลงทุน (IP License) เพื่อแนะนำการลงทุนแก่นักลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น

ทั้งนี้ ธุรกิจการลงทุน (Investment) ก็ยังคงเน้นการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีดีลที่อยู่ระหว่างศึกษาประมาณ 100 ดีล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเห็นการลงทุนในปีนี้จำนวนกี่ดีล อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวบริษัทคาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ที่ 30% ส่วนงานด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) ปัจจุบันบริษัทก็มีงานในมืออยู่ทั้งสิ้นจำนวน 56 ดีล แบ่งเป็น ดีลที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 27 ดีล และงานที่ปรึกษา (Advisory assignments) จำนวน 29 ดีล โดยปีนี้คาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ 2-3 ดีล

นอกจากนี้ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) ในปีนี้ภาพอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ยังคงแข่งขันสูงอยู่ แต่บริษัทก็ปรับตัวไปเป็นผู้วางแผนการลงทุนมากกว่าการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ทางเดียว ประกอบกับอยู่ระหว่างให้บริษัทในต่างประเทศศึกษาเพื่อปรับโครงสร้างการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการลงทุนและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน เช่น การให้บริการเทรดดิ้ง แพลตฟอร์ม และการศึกษาพฤติกรรมลูกค้า เป็นต้น โดยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาเลือกรูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสมของฝ่ายบริหาร ส่วนการนำโรบอทเข้ามาใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ของหลายโบรกเกอร์นั้น บริษัทไม่มีความสนใจที่จะลงทุนด้านนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะความรวดเร็วที่มีโอกาสผิดพลาดได้ และยังผิดนโยบายของบริษัท

นายพิทเยนท์ กล่าวด้วยว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังการเลือกตั้งคาดว่าจะเห็นการรีบาวด์ขึ้น เนื่องจากจะมีเงินทุนไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทย จากปัจจัยเรื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ห่างกันเพียง 1% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยสิ้นเดือนก.พ.62 มีอัตราการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 22.6% (ไม่รวม NVDR) จึงคาดว่าจะมีสัดส่วนการเข้ามาถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเป็น 24-25% ในปีนี้

ประกอบกับ ความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งปัจจัยต่างประเทศ ทั้งในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และสถานการณ์การแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แม้ว่าจะยังยืดเยื้ออยู่ แต่นักลงทุนก็ได้รับข่าวไปหมดแล้ว ทำให้คาดว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันในปีนี้จะอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท จากระดับ 42,000 ล้านบาทในปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ