นายสมศักดิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีพีบีไอ (TPBI) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทฯ จะทำการปรับกลุ่มธุรกิจ (Business Unit) ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ที่มุ่งสู่บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้เทรนด์ของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในตลาดโลก ณ ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป
เบื้องต้นบริษัทฯ จะแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อสร้างความชัดเจนในการดำเนินงาน ดังนี้
(1) กลุ่ม Consumable คือกลุ่ม General Packaging เดิม เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงใส่ผักผลไม้ ถุงขยะ บริษัทฯ วางแผนขยายบรรจุภัณฑ์ประเภทใหม่ ๆ เพิ่มเติม เช่น ถุงขยะรูปแบบใหม่ บรรจุภัณฑ์สำหรับภาคขนส่ง ถุงใส่อาหาร โดยในกลุ่มนี้มีตลาดหลักอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา นิวซีแลนด์และญี่ปุ่น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 62,000 ตันต่อปี
(2) กลุ่ม Flexible ประกอบด้วย กลุ่มฟิล์ม กลุ่มบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่ม Digital Printing โดยเน้นทำตลาดในประเทศไทย เวียดนาม สิงคโปร์และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในกลุ่มฟิล์ม 11,500 ตันต่อปี และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนอีก 150 ล้านเมตรต่อปี
(3) กลุ่ม Paper ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์กระดาษ มีโรงงานและตลาดหลักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีกำลังการผลิต 516 ล้านใบต่อปี
และ (4) กลุ่ม Trading เป็นการซื้อ-ขายบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำกัดเฉพาะพลาสติก ในกรณีที่เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติก บริษัทฯ จะเน้นประเภทที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากกว่าประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยตลาดหลักของกลุ่มธุรกิจนี้จะอยู่ที่อังกฤษ ออสเตรเลีย และวางแผนขยายไปอเมริกา
ทั้งนี้ แผนการขยายธุรกิจในปี 62 บริษัทฯ จะเน้นการเจาะตลาดในกลุ่มประเทศใหม่ เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงใช้ประโยชน์จากช่องทางการตลาดและเทคโนโลยีใหม่ที่ได้มาจากกลุ่มงาน Global Trading เพื่อขยายฐานลูกค้า และจากแนวโน้มการใช้ผลิตภัณฑ์ Bioplastic ที่มากขึ้นในปัจจุบัน บริษัทฯ คาดว่าจะส่งผลบวกกับยอดขายกลุ่ม Consumable ซึ่งบริษัทฯ มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิต Bioplastic ได้ตามความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ ในส่วนของบรรจุภัณฑ์กระดาษก็มีสัญญาณความต้องการใช้เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเมื่อปี 61 ที่ผ่านมา บริษัทได้เสริมความแข็งแกร่ง ด้วยการเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัท Intelipac ที่ประเทศอังกฤษและประเทศออสเตรเลีย ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ เพื่อเป็นช่องทางในการเจาะตลาดกลุ่มบรรจุภัณฑ์กระดาษเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเน้นการทำตลาดในกลุ่มประเทศเดิมที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย อเมริกาและไทย โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าจากกลยุทธ์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น การขยายตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่ การเข้าลงทุนใน กลุ่มบริษัท Intelipac ที่ประเทศอังกฤษและประเทศออสเตรเลีย รวมถึงการขยายกำลังการผลิตโรงงาน Flexible Packaging เมื่อปีที่แล้ว จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นและเติบโตได้อย่างมั่นคง
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์การ Transformation ที่บริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเริ่มส่งผลบวก โดยเห็นได้จากรายได้ในกลุ่มถุงขยะและถุงใส่ผักผลไม้ในปี 61 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,128 ล้านบาท จากเดิมปี 60 อยู่ที่ 960 ล้านบาท และรายได้ในกลุ่ม Flexible packaging เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 734 ล้านบาท จากปี 60 ทำได้ 666 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมุ่งมั่น Transformation ต่อไปเพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
"การจัดกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่มจะช่วยให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวและเข้มแข็งในการทำการตลาดมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการ Transformation เริ่มเห็นผลที่เป็นรูปธรรมจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะยังคง Transformation ต่อไปเพื่อสร้างการเติบโตที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว" นายสมศักดิ์ กล่าว