นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 บริษัทจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปิดสิ้นไตรมาสจะอยู่ที่ 64 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปิดสิ้นไตรมาส 4/61 ที่อยู่ระดับ 57.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project :CFP) มูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบันนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำแนฟทาที่ได้จากโครงการ CFP ในปริมาณรวม 1 ล้านตัน/ปีมาต่อยอดผลิตเอทิลีนแครกเกอร์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะดำเนินการเอง หรือจะร่วมทุนกับบริษัทในเครือบมจ.ปตท. (PTT) อาทิ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้
ปัจจุบันโครงการ CFP อยู่ระหว่างการออกแบบวิศวกรรม คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนมิ.ย.นี้ และแล้วเสร็จในปี 65 ส่วนแหล่งเงินทุนโครงการมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ 7 หมื่นล้านบาท และมีแผนออกหุ้นกู้อีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3 หมื่นล้านบาท รวม 1แสนล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย , ภาษี ,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีละ 700-800 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อหักเงินปันผลและภาษีแล้ว จะเหลือปีละ 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพียงพอต่อการลงทุนโดยไม่ต้องปรับโครงสร้างทางการเงิน
ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ PTTGC กล่าวว่า บริษัทได้ศึกษาร่วมกับไทยออยล์ในการนำแนฟทา ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากโครงการ CFP มาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มแต่ยังไม่มีข้อสรุป อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ (Olefins Reconfiguration Project :ORP) ซึ่งเป็นโครงการที่นำแนฟทามาเป็นวัตถุดิบ (Feedstock) ผลิตเอทิลีน 5 แสนตัน/ปี และโพรพิลีน 2.61 แสนตัน/ปี เพื่อต่อยอดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมขั้นปลาย