นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า การส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นอย่างชัดเจนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ผ่านการปรับลดคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Dot Pot) จากเดิมที่ชี้ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสองครั้ง เป็นคงอัตราดอกเบี้ยไปตลอดทั้งปี 62 พร้อมทั้งได้ประกาศแผนยุติการลดงบดุล (QT) โดยจะเริ่มชะลอการลดการถือครองพันธบัตรตั้งแต่เดือน พ.ค. และยุติการลดงบดุลลงในเดือน ก.ย. ซึ่งตามแผนดังกล่าวประเมินว่าขนาดงบดุลของเฟดจะลดลงจากจุดสูงสุดที่ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 58 มาอยู่ที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสิ้นเดือน ก.ย.62 และทรงตัวที่ระดับดังกล่าวต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขนาดของงบดุลที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือน ก.ย.62 ถือว่ามีขนาดใหญ่มากหากเทียบกับแนวโน้มในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 51 ที่ขนาดงบดุลอยู่ที่ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าสภาพคล่องในสหรัฐยังมีอยู่เหลือเฟือ ยิ่งไปกว่านั้นการยุติการลดขนาดงบดุลของเฟดจะหนุนให้สภาพคล่องของโลกที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 3/61 กลับมาเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/62 ซึ่งนับเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อตลาดหุ้นในปีนี้
"เฟดคงนโยบายการเงินเดิม แต่มีท่าทีผ่อนคลาย (Dovish) มากกว่าที่คาด และยังคงย้ำว่าจะรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ตลาดเงิน รวมถึงเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าก่อน ซึ่งการปรับลดคาดการณ์ Dot Plot ดังกล่าว สะท้อนได้ว่าเฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกแล้วในปีนี้ และ Fed ยังจะยุติการปรับลดขนาดงบดุลในสิ้นเดือนก.ย.อีกด้วย ทำให้สภาพคล่องจะยังคงมีอยู่มากในตลาดและเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น" นายคมศรกล่าว
ทั้งนี้ การส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการประกาศยุติการลดงบดุลของเฟดในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเฟดเริ่มกังวลและเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ดังนั้น นักลงทุนยังควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกนั้นเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักรแล้ว ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะกลับมาเป็นขาลงนั้นมีสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยภาพเศรษฐกิจโลกปี 62 มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างพร้อมเพรียงกัน (Global Synchronized Slowdown) หลังเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทั้งนโยบายทางการเงินและการคลังมีอย่างจำกัด ซึ่งต่างจากในช่วงปี 59 ที่รัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังมีกระสุนเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และหนุนให้ตลาดหุ้นโลกกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกระลอกใหญ่
ดังนั้น การตั้งเป้าหมายการลงทุนอาจต้องเปลี่ยนไปจากเดิมที่มุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนสูงสุดเป็นการเน้นการบริหารความเสี่ยงและรักษาเงินต้น ซึ่งนักลงทุนอาจเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ REIT หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
พร้อมทั้งแนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นทยอยขายทำกำไรออกมาก่อน และถือเงินสดบางส่วนเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมือง TISCO ESU ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Health Care มากกว่าตลาด (Overweight) เนื่องจาก การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงมีเสถียรภาพที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะที่ กลุ่ม Health Care แม้ในช่วงเศรษฐกิจหดตัวกำไรของหุ้นในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง