นายเกียรติ วิมลเฉลา ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามราช (SR) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่าได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตประมาณ 8-10% จากปีก่อน มีรายได้แตะระดับ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 58 โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตจากธุรกิจหลักและธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะโครงการบริหารจัดการพื้นที่อาคารจอดรถยนต์โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีเป็นครั้งแรกภายในปีนี้ และจะช่วยสร้างรายได้สม่ำเสมอเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ปีนี้เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจเดิมทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างสถานีวัดและระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ กลุ่มธุรกิจพลังงานทางเลือก และกลุ่มธุรกิจระบบปั๊มอุสาหกรรม ที่ ณ สิ้นเดือนก.พ.62 มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,384 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 862 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดๆไป และก็อยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
"ปีนี้บริษัทจะเติบโตราว 8-10% จากปีก่อน เหตุผลหลักเกิดจากรายได้ของธุรกิจเดิม 3 กลุ่มเติบโตดีต่อเนื่อง และมีงานรอรับรู้รายได้แล้ว ณ สิ้นเดือน ก.พ.มีมูลค่ารวม 1.3 พันล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ประมาณ 800 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% ของงานในมือ ส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปีถัดไป ขณะเดียวกันรายได้จากธุรกิจใหม่ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เช่นโครงการบริหารจัดการพื้นที่อาคารจอดรถยนต์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นปีแรกที่มีรายได้เข้ามาเต็มปี จากปีก่อนรับรู้เพียงไตรมาส 4/61 เท่านั้น"
ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 62 จะมุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและสม่ำเสมอ โดยธุรกิจหลัก มีงานในมือรอรับรู้รายได้ ซึ่งจะทยอยรับรู้ได้ถึงปี 63 และในปีนี้จะพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อมเพื่อหางานใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย
ส่วนธุรกิจใหม่ หรือธุรกิจบริหารจัดการอาคารที่จอดรถ ในปีนี้จะรับรู้รายได้จากค่าเช่าอาคารที่จอดรถ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เข้ามาเต็มปีเป็นปีแรก โดยคาดว่าจะมีรายได้ราว 77 ล้านบาท และก็อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารที่จอดรถที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 1 แห่ง คาดจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 63 โดยตั้งเป้ารายได้จะเติบโตเป็น 196 ล้านบาท และ 203 ล้านบาทในปี 64 ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างประมูลงานเพิ่มเติมอีก 4-5 แห่ง คาดว่าจะสรุปได้ในปีนี้ 1 แห่ง และน่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวม 6 เมกะวัตต์ ถือหุ้น 25% แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทสนใจจะเข้าไปลงทุนด้านพลังงานทดแทนเพิ่มเติม โดยมีแผนเข้าประมูลงานโซลาร์รูฟท็อปร่วมกับพันธมิตร ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ คาดเห็นความชัดเจนภายในต้นไตรมาส 3/62 และเตรียมเข้าประมูลงานโซลาร์ลอยน้ำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในโครงการเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี จำนวน 45 เมกะวัตต์ ร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญอีกด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทได้วางเป้าหมายรายได้ประจำใน 3 ปี (62-64) จะเติบโตเป็น 300 ล้านบาท จากปัจจุบันยังมีสัดส่วนน้อยมาก
นายเกียรติ กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 500-600 ล้านบาท โดยจะใช้ในการลงทุนอาคารที่จอดรถท่าอากาศยานเชียงใหม่ จำนวน 300-450 ล้านบาท และที่เหลือจะใช้ลงทุนโซลาร์รูฟท็อป โดยแหล่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ ไม่เกิน 200 ล้านบาท และที่เหลือจะมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 61 บริษัทฯ มีรายได้ 1,777.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.96% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 53.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.40%