หุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) เคลื่อนไหวอย่างร้อนแรงและมีวอลุ่มเทรดหนาแน่นหลังผลการเลือกตั้ง 24 มี.ค.พรรคภูมิใจไทยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือ "เสี่ยหนู"กวาดที่นั่ง ส.ส.แบบแบ่งเขตถึง 39 เสียง ยังไม่รวมเสียงปาร์ตี้ลิสต์ ทำให้ถูกจับตามองเป็นพรรคตัวแปรที่เนื้อหอมที่สุดที่พรรคใหญ่ทั้งสองขั้วต่างชิงกันส่ง"เทียบทอง"เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วยข้อเสนอสุดหรู
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.46 น.หุ้น STEC เทรดอยู่ที่ระดับราคา 23.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+0.42%) มูลค่าซื้อขาย 1,460.36 ล้านบาท หลังจากวานนี้ปิดที่ 23.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท (+3.04%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2,112.14 ล้านบาท โดยระหว่างวันวอลุ่มเทรดขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
ขณะที่เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ก่อนการเลือกตั้งหุ้น STEC ปิดที่ 23 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+1.32%) มูลค่าซื้อขาย 534.19 ล้านบาท
เป็นทราบกันว่า STEC เป็นธุรกิจของตระกูล"ชาญวีรกูล"เมื่อ"เสี่ยหนู"เนื้อหอม จึงส่งผลให้ราคาหุ้น STEC ขยับขึ้นมาเทรดกันอย่างคึกคัก แม่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับงานบริหารใน STEC แต่"เสี่ยหนู"ก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวน 71,550,128 หุ้น คิดเป็น 4.69% (จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุดเมื่อ 14 มี.ค.61)
ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ยังระบุว่า STEC ได้มีการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ได้แก่
- บริษัท ดีเคเค ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง จำกัด ประกอบธุรกิจงานก่อสร้างระบบโทรคมนาคมและสายส่ง โดย STEC ถือหุ้น 35%
- บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาสัย โดย STEC ถือหุ้น 80.90%
- กิจการร่วมค้าซิโน-ไทย-เอ.เอส. โดย STEC ถือหุ้น 58%
- กิจการร่วมค้า เอส แอล โดย STEC ถือหุ้น 70%
- กิจการร่วมค้า เอส ที เอ เอส โดย STEC ถือหุ้น 60%, กิจการร่วมค้า เอส ยู โดย STEC ถือหุ้น 60%
- บริษัท นูเวล พร็อพเพอตี้ จำกัด ประกอบธุรกิจค้าที่ดิน จัดสรร จัดหาที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ โดย STEC ถือหุ้น 99.99%
- บริษัท ซัสโก้ ลูบริแคนท์ส จำกัด ประกอบกิจการค้าปลีกและส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิง โดย STEC ถือหุ้น 100%
- บริษัท สเตคอน เพาเวอร์ จำกัด เป็นโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าทุกประเภทฯ โดย STEC ถือหุ้น 99.97%
- กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที โดย STEC ถือหุ้น 40%
นอกจากนั้น "เสี่ยหนู"ยังถือเป็นผู้หุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) จำนวน 164,590,285 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 10.13% ซึ่งเมื่อเวลา 16.33 น.วันนี้ ราคาหุ้น STPI ปรับขึ้นมา 2.48% มาที่ 6.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 144.92 ล้านบาท บวกต่อเนื่องจากวานนี้ที่ปรับขึ้น 2.54% มาปิดที่ 6.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 159.99 ล้านบาท
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า นักลงทุนที่เข้ามาเทรดหุ้น STEC เป็นความคาดหวังของนักลงทุนที่มองถึงการเอื้อประโยชน์หากนายอนุทินเข้ารับตำแหน่งใดตำแหน่งในรัฐบาล แต่โดยส่วนตัวกลับมองว่าอาจกลายทำให้ STEC เป็นจุดโฟกัสที่หลายคนจ้องจะตรวจสอบการดำเนินธุรกิจเมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้มีตำแหน่งในรัฐบาล
"หากมองว่าคุณอนุทินเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี มองว่า STEC ก็อาจจะถูกโฟกัสมากขึ้น บริษัทฯจะกระดิกตัวได้ยาก ซึ่งผมมองตรงข้ามนะ...เวลาบริษัทชนะงานประมูลก็อาจจะถูกตรวจสอบ เพราะเห็นว่าเป็นบริษัทครอบครัวเขาเอง ซึ่งอาจไม่ดีนัก เพียงแต่ตอนนี้คนมองภาพดี เอื้อในแง่ธุรกิจ"นายชัยพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายชัยพร ระบุว่า ปัจจัยพื้นฐานของ STEC ดีอยู่แล้ว ทางฝ่ายวิจัยก็ยังแนะนำ"ซื้อ"ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ด้วยราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น จากงานในมือ (Backlog) ที่เข้ามามากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้รายได้ของ STEC ทำ New High มาตั้งแต่ไตรมาส 3/61 และในปีนี้ STEC ก็ยังคงเติบโตได้ดี โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิปีนี้ (2562) ที่ 1,624 ล้านบาท เติบดต 24.2% จากปีที่แล้ว (2561) ที่มีกำไรสุทธิ 1,308 ล้านบาท ซึ่ง STEC มีข้อดีที่มีการจัดการต้นทุนที่ดี
นายชัยพร กล่าวอีกว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นกับการเมืองน่าจะมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าใครจะจัดตั้งรัฐบาล และคะแนนก็ควรจะมีเสถียรภาพด้วย ไม่เช่นนั้นการผ่านกฏหมายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเสนออาจมีปัญหา หรืออาจถูกคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจจะถูกคว่ำได้ แต่ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลทุกคนเข้าใจว่าจะมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโต และทำให้คนมีรายได้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ทุกพรรคได้หาเสียงไว้ ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยจึงชะลอเพื่อรอดูความชัดเจน เห็นได้เลยว่าวอลุ่มเทรดหดหายไป
"แต่ไม่คิดว่าตลาดฯจะปรับตัวลงนะ แนวคิดของนักลงทุนอาจมองว่าตลาดฯจะปรับตัวขึ้นได้เมื่อไร เพราะนักลงทุนพร้อมที่จะใส่เงินในตลาดหุ้น เพราะถ้าตลาดฯจะปรับตัวลง ก็คงจะลงไปแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่"นายชัยพร กล่าว
ด้านน.ส.วิชชุดา ปลั่งมณี นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้น STEC ช่วงนี้มีการเทรดกันอย่างคึกคัก มองว่าเป็นจิตวิทยาของนักลงทุนที่มองกันในเรื่องของการเอื้อประโยชน์หากนายอนุทินได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยขณะนี้กลุ่มตระกูลชาญวีรกุลถือหุ้น STEC รวมกัน 5-6% ซึ่งก็ยังติด TOP 5 ส่วนตัวของนายอนุทินเองถือหุ้น STEC อยู่ 4.6%
แต่ในความเป็นจริง STEC มีความสามารถในการรับงานได้เองอยู่แล้ว เห็นได้จากที่ผ่านมา STEC ก็ยังได้งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม, ชมพู, เหลือง, รถไฟทางคู่ เฟส 1 หนองปลาไหล-หัวหิน-ฉะเชิงเทรา แม้แต่งานโรงไฟฟ้าก็ได้มาเมื่อปีที่แล้ว
สำหรับปีนี้ STEC ก็ยังมีงานที่รอการประมูลอยู่ทั้งงานทางด่วนพระราม 3 ที่ได้เข้าซื้อซองประมูลมาแล้ว ตอนนี้รอเข้ายื่นซอง, งานรถไฟทางคู่ เฟส 2, รถไฟฟ้าสายสีส้ม-ม่วง, งานมอเตอร์เวย์ O&M ซึ่งเป็นงานวางระบบ คาดว่าจะจับมือกับ BTS และงานพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งได้ซื้อซองประมูลแล้วและเตรียมประมูลเช่นกัน
ปัจจุบัน STEC มีงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 1.05 แสนล้านบาท สามารถรองรับรายได้ 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากงานของภาครัฐฯแล้ว ในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/62) น่าจะได้เห็นงานจากภาคเอกชนด้วย เช่น Community Mall ในกลุ่ม The Mall, โครงการ The One Bangkok เป็นต้น พร้อมแนะนำ"ซื้อ"หุ้น STEC ด้วยราคาเป้าหมาย 31 บาท/หุ้น
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่า มีโอกาสที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รวมกับพรรคพรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้มีจำนวน ส.ส.รวมเกิน 250 ที่นั่ง ทำให้ความคาดหมายว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะต่อเนื่อง โดยชื่นชอบหุ้น STEC ประเมินว่าการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้หลังมีรัฐบาลใหม่