นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บล.คันทรี่ กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของบมจ.อรินสิริ แลนด์ (ARIN) กล่าวว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของ ARIN เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้นและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ปัจจุบัน ARIN มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท มีทุนเรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท
วัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ ใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ การลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา, เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้มีระยะเวลาการใช้เงินระหว่างปี พ.ศ.2562-2563
ARIN ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ ภายใต้ตราสินค้า "อรินสิริ" ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในด้านคุณภาพการก่อสร้างและบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ โดยจะสะท้อนจากผลงานในอดีตของผู้บริหาร ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,049 ล้านบาท และมีความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน
ประกอบกับเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่จริง ปัจจุบันบริษัทมีการพัฒนาเป็นโครงการประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม รวมถึงอาคารพาณิชย์ และมีแผนที่จะพัฒนาโครงการในอนาคตที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการของบริษัทจะพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง แนวโน้มสภาวะตลาดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ความต้องการของผู้บริโภค กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และความเหมาะสมของระดับราคา โดยปัจจุบันโครงการของบริษัทตั้งอยู่ ในหัวเมืองภาคตะวันออก ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและมีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท คือ กลุ่มพนักงานและข้าราชการที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและละแวกใกล้เคียงที่มีความต้องการขยับขยายที่อยู่จากที่อยู่เดิม รวมถึงคนต่างถิ่นที่เข้าไปทำงานที่จ.ชลบุรี และกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ , กลุ่มครอบครัวใหม่ที่แตกออกมาจากครอบครัวเดิม โดยจัดอันดับระดับลูกค้าเป็นคนที่มีรายได้ปานกลางไปจนถึงระดับกลางค่อนไปทางสูง (กลุ่ม B ถึง B+)
นายสุชาติ ชมกลิ่น กรรมการผู้จัดการ ของ ARIN ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไป เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ การลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา, เพื่อชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนใน mai จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่น ต่อสถาบันการเงินและกลุ่มลูกค้าของบริษัทในการบริหารงานและดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงการดำเนินงานต่าง ๆ ด้วยความโปร่งใส
"บริษัทมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออก โดยเฉพาะในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) รวมถึงการเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ในพื้นที่ดังกล่าว ภายในปี 2565 ทั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นการขยายตัวของกำลังซื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดว่าจะขยายตัวตามนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่ภาครัฐกำลังเร่งดำเนินการ โดยโครงการนี้จะส่งผลให้ภาคประชากรเพิ่มจำนวนขึ้น และทำให้เกิดความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานตามมา" นายสุชาติ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและอยู่ระหว่างการขาย จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,201.20 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการอรินสิริ สปอร์ต วิลเลจ มูลค่าโครงการ 1,339.09 ล้านบาท โครงการอรินสิริ คันทรี ฮิลล์ มูลค่าโครงการ 501.68 ล้านบาท และโครงการอรินสิริ ไพรเวซี่ มูลค่าโครงการ 360.44 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการในอนาคตทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ โครงการอรินสิริ บีช @ บ้านฉาง มูลค่าโครงการ 542.70 ล้านบาท, โครงการ อรินสิริ เมาท์เท่น มูลค่าโครงการ 546.12 ล้านบาท ,โครงการ อรินสิริ แคมปัส มูลค่าโครงการ 305.03 ล้านบาท และโครงการอรินสิริ บีชคอนโด 1,2 มูลค่าโครงการ 785.41 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,179 ล้านบาท
สำหรับทิศทางผลประกอบการของบริษัท ปี 2562 คาดว่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับแผนการระดมทุนและแผนการลงทุนในปีนี้ โดยในปี 2559 - 2561 บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 85.30 ล้านบาท 391.65 ล้านบาท และ 382.03 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3,047.60 ในปี 2559 ร้อยละ 359.13 ในปี 2560 และร้อยละ 2.46 ในปี 2561 ขณะที่กำไรสุทธิย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2559 - 2561 โดยปี 2559 ขาดทุนสุทธิ 11.42 ล้านบาท ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 37.09 ล้านบาท และปี 2561 กำไรสุทธิอยู่ที่ 26.05 ล้านบาท