พร้อมมองผลการดำเนินงานทั้งปี 62 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 13,109-18,614 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 10,149 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่า TOP จะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันในปีนี้ และผลการดำเนินงานจะดีขึ้น โดยเฉพาะจากมาตรการของ IMO ที่ในปี 63 กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% ส่งผลให้ตลาดจะมีความต้องการน้ำมันดีเซลมากขึ้นเพื่อมาผสมลดค่ากำมะถันลง หนุนให้ราคาน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นตาม ส่งผลดีต่อ TOP ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตดีเซลในระดับสูง จึงเชื่อว่าจะมีการเก็งกำไรหุ้น TOP เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่คาดว่าจะมีทิศทางคลี่คลายก็จะหนุนให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นด้วย
ราคาหุ้น TOP พักเที่ยงอยู่ที่ 70.25 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.35% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.07%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เอเชีย เวลท์ ซื้อ 90.00 บัวหลวง ซื้อ 90.00 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ซื้อ 89.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 89.00 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 85.00
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ผลการดำเนินงานของ TOP ในไตรมาส 1/62 จะดีกว่าไตรมาส 4/61 ที่ได้มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน กดดันให้ผลการดำเนินงานรวมมีผลขาดทุนสุทธิ แต่ในไตรมาส 1/62 ค่าการกลั่นฟื้นตัวขึ้น และไม่มีผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน แต่ธุรกิจอะโรเมติกส์อาจจะอ่อนตัวลงบ้าง จากราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง
ทั้งนี้ หากมองผลการดำเนินงานทั้งปี 62 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 14,523 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิ 10,149 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้คาดว่า TOP ไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน และมอง Operation ก็น่าจะดีขึ้น จากต้นทุนสูญเสียน้ำมันในระบบจะดีขึ้น นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากมาตรการขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากัมมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 ขณะที่โรงกลั่นในหลายประเทศมีการผลิตน้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันมากกว่า 0.5% ก็จะส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเข้ามาทดแทนมากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อ TOP และน่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของ TOP ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ดีขึ้นด้วย ดังนั้น อาจจะมีการเก็งกำไรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วย
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/62 ของ TOP จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบต่อไตรมาส เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นจากเดือน ธ.ค.61
นอกจากนี้ ยังคงเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร ยังคงลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วันนับตั้งแต่เดือน ม.ค.62 และสิ้นสุดช่วงที่สหรัฐผ่อนผันให้ 8 ประเทศนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านได้จนถึงเดือน พ.ค.62 ดังนั้น จึงยังคงเลือก TOP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน
บทวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์ คาดหวังว่า ปีนี้ TOP จะมีกำไรฟื้นขึ้นมาเป็น 18,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% จากปีที่แล้ว และอ่อนตัวลงเล็กน้อยราว 1.6% มาอยู่ที่ระดับกำไร 18,312 ล้านบาท ในปี 63 ซึ่งยังคาดหวังผลบวกจากส่วนต่างน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ และผลของสงครามการค้าคลี่คลายทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการของ TOP ไตรมาส 1/62 จะฟื้นตัว หลังจากมี Stock Loss จำนวนมากไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ค่าการกลั่นยังคงอ่อนตัวต่อเนื่องในไตรมาส 1/62 เป็น 3.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ยในไตรมาส 4/61 ที่ 4.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าเฉลี่ยของปี 61 ที่ 5.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ในไตรมาส 1/62 ยังคงอยู่ระดับสูง ที่ราว 489 เหรียญสหรัฐ/ตัน แม้จะลดลง 7% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 528 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ระดับราคาดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 61 ที่อยู่ 388 เหรียญสหรัฐ/ตัน มากถึง 26%
สำหรับ บล.บัวหลวง ระบุว่าผลประกอบการไตรมาส 1/62 ของ TOP มีแนวโน้มพลิกกลับเป็นกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 หนุนโดยกำไรจากสินค้าคงคลัง แต่กำไรจากการดำเนินงานหลักมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน กดดันโดยค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง และกำไรจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นลดลง จากส่วนต่างราคาปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตามธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคา PX ขยายตัว และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่กลับสู่ระดับปกติน่าจะช่วยบรรเทาการปรับตัวลดลงของกำไรหลักของ TOP ได้บางส่วน พร้อมคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 62 ที่ 13,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว