นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ (TITLE) เปิดเผยว่า บริษัทปรับแผนการเปิดโครงการในปีนี้ใหม่ โดยเตรียมเปิดตัวโครงการหาดในยาง มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/62 เพื่อรองรับความต้องการของชาวต่างชาติและคนไทยในตลาดกลางถึงบน จากเดิมที่คาดว่าจะมีมูลค่าโครงการราว 2,000 ล้านบาทและเปิดตัวในไตรมาสแรก 1/62 รวมทั้งเปิดตัวโครงการหาดบางเทา มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาทในไตรมาส 4/62
"ข้อมูลความต้องการของตลาดบนหาดในยาง ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างมาก และจากผลการขายของเฟส 1 และ 2 ที่ผ่านมา มีผลตอบรับดีเกินคาด จึงเชื่อว่าการเปิดตัวโครงการที่หาดในยาง ด้วยมูลค่าโครงการที่สูงแทนการเปิดตัวที่หาดบางเทา จะส่งผลดีมากกว่า ทำให้รายได้และกำไรในปี 63-65 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมก้าวสู่ความเป็นเบอร์ 1 อสังหาฯทางเลือกของภูเก็ต สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก"นายศศิพงษ์ กล่าว
นายศศิพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าของโครงการของ TITLE ในส่วนของ หาดราไวย์ 1. โครงการหาดราไวย์ เฟส 3 มูลค่าโครงการประมาณ 1,100 ล้านบาทแล้วเสร็จและโอนแล้วเกือบ 100% 2.โครงการหาดราไวย์ เฟส 5 มูลค่าโครงการประมาณ 1,100 ล้านบาท เปิดการขายในเดือน พ.ย.61 มียอดขายแล้วประมาณ 20% คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จและเริ่มโอนได้ปี 63
หาดในยาง 1.โครงการหาดในยางเฟส 1 และ เฟส 2 มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท ถือว่าปิดการขายแล้ว และก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 61 เริ่มโอนแล้วตั้งแต่เดือน ม.ค.62 คาดว่าจะโอนหมดในปี 63 และ 2.โครงการหาดในยาง เฟส 3 มูลค่าโครงการประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดการขายในช่วงไตรมาส 4/62 และคาดว่าจะสามารถโอนและเริ่มรับรู้รายได้ ในช่วงปี 64 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 900 ล้านบาท เพราะยอดโอนโครงการที่หาดในยางของไตรมาส 4/61 ที่ล่าช้าออกไป จะกลับเข้ามาบันทึกเป็นยอดโอนเพิ่มในปีนี้เป็นต้นไป โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 1,600 ล้านบาท และรับเงินล่วงหน้าแล้วเกือบ 900 ล้านบาท ตลอดจนมีที่ดินรอการพัฒนารองรับอนาคตอีก 70-80 ไร่ ซึ่งสามารถพัฒนาโครงการได้อีกประมาณ 6-9 ปี และมีตลาดลูกค้าที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าบริษัทจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป
ส่วนมาตรการควบคุมสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มใช้บังคับกับสัญญากู้ที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.62 เป็นต้นไป โดยกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทเนื่องจากลูกค้ากว่า 80% เป็นชาวต่างชาติ ไม่ได้ใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน ตลอดจนการรับเงินดาวน์สูง 50-75% ทำให้โครงการของบริษัทใช้เงินกู้เพื่อโครงการในสัดส่วนที่น้อยมาก