(เพิ่มเติม) ASP ปรับเป้า SET ปีนี้เหลือ 1,705 จุด รับผลตั้งสำรองตามกม.แรงงานใหม่กระทบกำไรบจ. ,มอง Fund Flow เข้าหลังเลือกตั้ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 27, 2019 13:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ในกลุ่มบมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) เปิดเผยว่า ปรับเป้าหมาย SET Index ในปี 2562 อยู่ที่ 1,705 จุด จากเดิมที่ 1,795 จุด หลังได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของตลาดในปีนี้ลงเพื่อสะท้อนผลกระทบจากการที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต้องตั้งสำรองรายการผลประโยชน์พนักงานตามพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับแก้ไข รวมถึงปรับปรุงสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนจากเดิมกำหนดที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยภายหลังการปรับปรุงคาดว่ากำไรสุทธิตลาดรวมจะอยู่ที่ราว 1.06 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่ 106.58 บาท จากเดิมที่ 112.20 บาท

อย่างไรก็ตามทิศทางตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/62 ดูสดใสขึ้น จากปัจจัยการเมืองในประเทศที่จะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง และกำไรบจ.ในไตรมาส 1/62 ที่ดีขึ้น รวมถึงกระแส Fund Flow ที่จะไหลกลับ

"Outlook ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 นี้เรามองดีขึ้น ตัวหนุนหลัก ๆ มาจากการเมือง แม้ว่าช่วงการจัดตั้งรัฐบาลอาจจะขลุกขลัก มีอุปสรรค แต่โดยภาพใหญ่เรามองเป็นพัฒนาการบวก เนื่องจากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง"นายเทิดศักดิ์ กล่าว

นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า จากนี้ไปตลาดจะให้น้ำหนักประเด็นหลักๆ คือการเมืองในประเทศ ผลการเลือกตั้งตามระบบจัดสรรปันส่วนผสม ทำให้จำนวนส.ส.กระจายตัวกันค่อนข้างมาก ทำให้เกิดขั้วทางการเมืองที่มีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น จึงเกิดปรากฏการณ์การแย่งกันจัดตั้งรัฐบาล ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้มีอุปสรรคมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยกรอบเวลาการเลือกตั้งรอบนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จะรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค. 62 ดังนั้นระยะเวลาเดือนเศษก่อนการรับรองผลการเลือกตั้ง จะเป็นช่วงการเจรจาต่อรองจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้จนสำเร็จและกลายเป็นพัฒนาการเชิงบวกของการเมืองไทย ที่กลับมาอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

โดยได้ประเมินกรณีการจัดตั้งรัฐบาลไว้ 3 กรณี คือ กรณีแรก เสียง ส.ส. ของแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใกล้เคียงหรือเกินกว่า 300 เสียง น่าจะเป็นบวกต่อการบริหารนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ มีเสถียรภาพในด้านอนุมัติงบประมาณหรือออกกฎหมายต่างๆ

ขณะที่กรณีปานกลาง คือแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีเสียง ส.ส.ประมาณ 260 เสียง ทำให้มีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้รัฐบาลบริหารประเทศได้อย่างไม่มีเสถียรภาพ และสุดท้ายกรณีเลวร้ายคือการเปลี่ยนถ่ายจากรัฐบาลทหารมาเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ อาจเกิดเป็นความเสี่ยงที่ต้องมาทบทวนถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและแนวโน้มตลาดหุ้นไทยใหม่อีกครั้ง

"ตามกฎหมายเดิมถ้าเปิดสภาฯแล้วต้องเลือกนายกฯภายใน 30 วัน แต่กฎหมายใหม่ไม่มีกำหนดระยะเวลาในการตั้งนายกฯ ทำให้อาจใช้เวลามากกว่าปกติ มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเห็นความชัดเจนได้ในเดือน ก.ค. แม้ว่าช่วงนี้สถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลจะยังไม่มีความชัดเจนเพราะจำนวน ส.ส.แกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีความก่ำกึ่งพอสมควร แต่ถือเป็นพัฒนาการในเชิงบวก ซึ่งหากตั้งรัฐบาลได้และมีเสถียรภาพในการบริหาร จะส่งผลดีกับภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย"นายเทิดศักดิ์ กล่าว

นอกจากนี้ ปัจจุบันสัดส่วนกลุ่มนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยแค่ 22.66% นับว่าต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นการปรับลดลงตั้งแต่ปี 2556 ที่เคยถือครองสัดส่วนกว่า 30%

นายเทิดศักดิ์ มองว่า ถ้ารัฐบาลใหม่สามารถจัดตั้งได้อย่างมีเสถียรภาพ, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังไม่เร่งปรับขึ้น ซึ่งมีโอกาสคงดอกเบี้ยไปจนถึงปลายปีนี้ ขณะที่สงครามการค้าจีนและสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลาย ทำให้มีโอกาสสูงที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาเพิ่มสัดส่วนลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ในระยะถัดไป

ฝ่ายวิจัย คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้น 50% และให้เน้นไปที่หุ้นรายตัวที่แนวโน้มกำไรเด่นในไตรมาส 1/62 เช่น PTT, STPI และหุ้นที่เติบโตตามการลงทุนและการบริโภคในประเทศ เช่น BBL, BJC, BGRIM, JMT, M, STEC รวมทั้งหุ้นผันผวนน้อยกว่าตลาด เช่น BCH

https://youtu.be/Agzi-12ataU


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ