ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิต ML ที่ระดับ "BBB-" แนวโน้ม "คงที่"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 29, 2019 12:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ไมด้า ลิสซิ่ง (ML) ที่ระดับ "BBB-" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงระดับฐานทุนที่เพียงพอของบริษัทที่จะสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจ และรองรับผลขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงในทางลบต่อบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลง และความเสี่ยงของสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าผลกำไรจะอ่อนแอลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเริ่มคงที่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สถานะทางการตลาดเมื่อพิจารณาจากยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัททางด้านที่ค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ก็มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะเดียวกัน ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการสินเชื่อรถยนต์ยังคงเป็นแรงกดดันในการขยายตัวของสินเชื่อและผลกำไร

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ฐานทุนอยู่ในระดับที่เพียงพอ โครงสร้างเงินทุนปานกลางในมุมมองของทริสเรทติ้ง ระดับทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอเมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงทางด้านเครดิตของธุรกิจให้สินเชื่อเช่าซื้อยนต์ซึ่งอยู่ในระดับสูง กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการชำระหนี้ที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบของภาวะเศรษฐกิจด้วยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์แข็งแรงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมสูงประมาณ 48% ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ตามข้อกำหนดสำคัญของหุ้นกู้ บริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเอาไว้ไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าว ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 1.1 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าหากพิจารณาจากแผนการขยายธุรกิจตามปกติ

คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ อันดับเครดิตตั้งอยู่บนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทแม้จะอ่อนแอลงในหลายปีที่ผ่านมา แต่มีแนวโน้มว่าจะไม่ลดลงไปกว่าระดับที่เป็นอยู่ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วันต่อสินเชื่อรวม) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มเป็น 6.01% ณ สิ้นปี 2561 จาก 4.56 % ณ สิ้นปี 2560 กรณีดังกล่าวสะท้อนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสถานะเครดิตอยู่ในระดับที่อ่อนแอกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของผู้ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รายอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะต่ำกว่า 6.25% ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าบริษัทจะปรับปรุงกระบวนการเก็บเงินและกระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุมมากขึ้น

ความเพียงพอในการตั้งสำรองของบริษัทค่อนข้างน้อยกว่าคู่แข่ง โดยค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับ 67% ณ สิ้นปี 2561 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการตั้งสำรองเพียงพอจากการที่บริษัทให้มูลค่าสินเชื่อต่อหลักประกันที่ 70-80% ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าการตั้งสำรองจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าจากมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น

รักษาผลกำไรสม่ำเสมอ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงสม่ำเสมอในอีก 3 ปีข้างหน้าหลักจากที่ปรับลดลงช่วงหนึ่ง ในปี 2561 กำไรสุทธิของบริษัทลดลง 15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น 24% และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่ลดต่ำลง 10% อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยลดลงอยู่ที่ระดับ 2.6% ในปี 2561 จาก 3.2% ในปี 2560

ทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 11% ถึงแม้ว่าต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้น บริษัทสร้างรายได้จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 16% จากธุรกิจหลักที่เรียกว่า "รถยนต์มือสาม" ซึ่งคือรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูง รวมทั้งการเติบโตของสินเชื่อ จะส่งผลให้บริษัทรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ความเสี่ยงของสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้ระยะสั้นที่อยู่ในระดับสูง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทเผชิญกับความเสี่ยงของสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2562 ถึงแม้ว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอเมื่อเทียบกับเงินกู้ยืมระยะสั้น แต่ส่วนต่างทางด้านระยะเวลาระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินภายในระยะ 1 ปีค่อนข้างแคบบริษัทคาดว่ากระแสเงินสดรับจากการชำระคืนสินเชื่อจากลูกหนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.49 พันล้านบาทในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.48 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นคิดเป็น 89% ของเงินกู้ยืมรวม ภาระหนี้ระยะสั้นที่ครบกำหนดชำระเป็นการชำระคืนหุ้นกู้ในปริมาณที่ค่อนข้างมากในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถต่ออายุ (Roll Over) หุ้นกู้ที่ครบกำหนดได้ เนื่องจากมีนักลงทุนที่สนใจในอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะสูงขึ้น ในระยะยาว ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะกระจายแหล่งกู้ยืมทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้นรวมทั้งหุ้นกู้ที่ครบกำหนดด้วยเพื่อลดความเสี่ยงของสภาพคล่องและความเสี่ยงในการจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่ ซึ่งยิ่งมีแหล่งเงินกู้มากขึ้นก็ยิ่งส่งผลให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น ความสามารถในการจัดหาวงเงินสินเชื่อที่หลากหลายแหล่งจะส่งผลบวกต่ออันดับเครดิตเช่นกัน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานในระยะ 3 ปีข้างหน้า

การขยายตัวของสินเชื่อใหม่ 2% ต่อปี

ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 10%-11%

ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะอยู่ในช่วง 2.2%-2.6%

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสภาพคล่อง สถานะทางการตลาด และผลประกอบการทางการเงินในระดับปัจจุบันไปพร้อมกับการรักษาฐานทุนให้แข็งแกร่งเอาไว้ได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มหากบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดและสถานะทางการแข่งขันเพิ่มขึ้นโดยที่ยังสามารถรักษาผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงจนส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรและสถานะทางการเงินของบริษัท

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากสถานะเครดิตของ บมจ.ไมด้า แอสเซ็ท (MIDA) ผู้ถือหุ้นใหญ่ ปรับลดลง ส่วนโอกาสที่อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นนั้นมีจำกัดเมื่อคำนึงถึงสถานะเครดิตในปัจจุบันของบริษัทไมด้า แอสเซ็ท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ