บมจ.วี.แอล. เอ็นเตอร์ไพรส์ (VL) เป็นอีกหนึ่งหุ้นน้องใหม่ที่เตรียมความพร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 2/62 โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 280 ล้านหุ้นในเร็ว ๆ นี้ คิดเป็น 35% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 200 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม 80 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด บริษัทในเครือของ บล.โกลเบล็ก ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ VL เปิดเผยว่า บริษัทได้นำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) ในประเทศรวมทั้งสิ้น 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ,ขอนแก่น ,สงขลา ก่อนมาปิดท้ายที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 1 เม.ย.62 ซึ่งผลการโรดโชว์พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนเข้าร่วมรับฟังข้อมูล ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างนำเสนอข้อมูลให้กับกลุ่มนักลงทุนสถาบันด้วย
VL ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่ง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ทางเรือทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยสินค้าแบ่งเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ น้ำมันใส ,น้ำมันปาล์ม,น้ำมันดิบ,น้ำมันเตา,และน้ำมันหล่อลื่น ปัจจุบันมีกองเรือทั้งหมด 12 ลำ และมีน้ำหนักบรรทุกรวม 35,081 เดทเวทตัน และสามารถบรรจุน้ำมันเพื่อขนส่งรวมอยู่ที่ 36,036 ลูกบาศก์เมตร จัดเป็นผู้ขนส่งรายใหญ่อันดับ 4 ของอุตสาหกรรมในประเทศ
จุดเด่นของ VL คืออายุกองเรือเฉลี่ย 16 ปี ถือว่าน้อยเป็นอันดับ 3 ตามนโยบายจะตัดค่าเสื่อมหรือขายเรือเมื่อครบอายุ 25 ปี ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงต่ำ
วัตถุประสงค์ที่ VL ระดมทุนด้วยเสนอขายหุ้นหุ้น IPO เพื่อนำไปขยายกองเรือเพิ่มปีละ 2 ลำ ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยตามแผนงานครึ่งแรกของปี 62 จะเริ่มให้บริการเรือ วี.แอล 21 และในปี 63 เริ่มให้บริการเรือ วี.แอล. 22 และวี.แอล. 23 เป็นการสร้างรายได้ให้เติบโตในปีถัดไป
โครงสร้างรายได้ของ VL แบ่งได้ 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ บริการขนส่งภายในประเทศมีสัดส่วนสูงสุดเฉลี่ย 66% ,รองลงมาในต่างประเทศเฉลี่ย 34%
ผลประกอบการของ VL ในช่วงปี 59-61 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 59 รายได้จากการให้บริการของบริษัท เท่ากับ 618.04 ล้านบาท, ปี 60 อยู่ที่ 682.41 ล้านบาท และ ปี 61 อยู่ที่ 694.68 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 79.38 ล้านบาท, ปี 60 อยู่ที่ 73.61 ล้านบาท และ ปี 61 อยู่ที่ 61.01 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่เท่ากับ 12.60%, 10.39% และ 8.70%
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิมาจากต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าซ่อมบำรุงรักษาทั่วไป ที่มีสัดส่วนรวมมากกว่า 30% ของต้นทุนรวม ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นตามเงินกู้ระยะยาวที่นำไปขยายกองเรือที่เพิ่มมากขึ้น
นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ VL กล่าวว่า ในปี 62 ต่อเนื่องถึงปี 63 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ตามแผนขยายกองเรือ และการเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการ ขณะที่บริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการค้าน้ำมันรายใหญ่ในไทย เช่น กลุ่ม บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) , กลุ่ม บมจ.บางจากคอร์ปอเรชั่น (BCP) ,และกลุ่มเชฟรอน (ไทย) เป็นต้น
แม้ธุรกิจหลักจะเป็นผู้ให้บริการขนส่งทางเรือที่ผู้ประกอบการส่วนมากได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือผันผวน แต่ด้วยโมเดลธุรกิจที่แตกต่างคือ บริษัทดำเนินการทำสัญญากับคู่ค้า หรือที่เรียกว่า COA โดยมีสัญญาตั้งแต่ 1 ปีจนถึง 3 ปี ทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายรักษาส่วนต่างกำไรได้ดีกว่าผู้ประกอบรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
"ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ประกอบกิจการ ได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตฟองสบู่มาแล้ว แต่บริษัทยังทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ"นางชุติภา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะบริษัทภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น (ถ้ามี)
จากการรวบรวมข้อมูลของโบรกเกอร์ทั้ง 7 สำนักประเมินราคาเป้าหมาย (Target Price) ของ VL ในปี 62 อยู่ในกรอบหุ้นละ 2.24 บาทไปจนถึง 2.68 บาท ขณะที่มูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 0.69 บาท คำนวณจากมูลค่าส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 และค่อนข้างมีมุมมองเชิงบวกกับธุรกิจของ VL เนื่องจากมีคู่แข่งน้อยราย ขณะที่การผลิตการบริโภคปิโตรเลียมและน้ำมันปาล์มเติบโตเฉลี่ย 3-4% ต่อปี คงต้องมาลุ้นกันว่าภายหลังจาก VL ระดมทุนไปแล้ว จะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน
https://youtu.be/rLmeFZ5chUo