โบรกเกอร์ต่างเห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) มองทิศทางผลประกอบการปี 62 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจหลักไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 8-10 รายการ รวมทั้งกำลังยื่นจดทะเบียนอีก 73 รายการ และอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 59 รายการ
นอกจากนี้ บริษัทยังขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ เช่น โคลอมเบีย, เอธิโอเปีย หลังจากเข้าไปเปิดสำนักงานใหม่ จากธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ซึ่งบริษัทได้เริ่มเปิดใช้งานศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ในประเทศเมียนมาซึ่งเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองย่างกุ้ง คาดจะมาช่วยรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและเป็นอีกทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 คาดกำไรสุทธิจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้กิจการร่วมค้าเมก้า มาลี การเจาะตลาดใหม่ ๆ และผลบวกจากการเพิ่มทีมการตลาดก่อนหน้านี้ในประเทศเมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย
ขณะที่ไตรมาส 4/61 กำไรสุทธิได้แตะจุดสูงสุดใหม่ และสูงกว่าคาดการณ์ถึง 5% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งจาก Mega We Care และ Maxxcare รวมถึงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายและการบริหารต่อยอดขายที่ปรับตัวลดลงด้วย
ราคาหุ้น MEGA เช้านี้อยู่ที่ 34 บาท ลดลง 0.25 บาท (-0.73%) ขณะที่ SET +0.47%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ทิสโก้ ซื้อ 40.00 ฟิลลิปฯ ซื้อ 38.00 เอเชีย เวลท์ ซื้อ 42.00 เคทีบีฯ ซื้อ 40.00 กสิกรไทย ซื้อ 41.00 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ซื้อ 46.00
นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางผลประกอบการของ MEGA ในปี 62 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care ที่มีสัดส่วนรายได้ในปี 61 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 52% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะออกมาในปีนี้อีก 8-10 ผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างจดทะเบียนอีก 73 ผลิตภัณฑ์ และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 59 ผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจากการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ เช่น ในประเทศโคลอมเบีย, เอธิโอเปีย ภายหลังที่บริษัทเข้าไปเปิดสำนักงานใหม่ และจากธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ซึ่งบริษัทได้เริ่มเปิดใช้งานศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ในประเทศเมียนมาซึ่งเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองย่างกุ้ง คาดจะมาช่วยรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและเป็นอีกทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้
ในส่วนของรับจ้างผลิต (OEM) ในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเดิมมีแนวโน้มกลับเข้ามาสั่งผลิตมากขึ้น นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังมีการทำตลาดค่อนข้างมากเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักและมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เช่นการเพิ่มจำนวนบุคลากร ทีมงานใหม่ๆ ในอีกหลายๆประเทศเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น ในประเทศเมียนมา, เวียดนาม, อินโดนีเซีย
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองเป้าหมายรายได้ปี 62 ที่เติบโต 8-10% มีโอกาสเป็นได้สูง โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากธุรกิจ Mega We Care ที่คาดว่าจะเติบโต 10% หนุนโดยการขยายตลาดต่อเนื่องและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ปัจจุบัน บริษัททำการตลาดครอบคลุมถึง 32 ประเทศ ซึ่งมีประเทศโคลอมเบียและเอธิโอเปียที่บริษัทเพิ่งเปิดสำนักงานตัวแทนใหม่ โดยบริษัทยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์เน้นเจาะตลาดประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตมากกว่า
ขณะที่ธุรกิจ Maxxcare จะเติบโต 12% โดยการเติบโตหลักจะยังมาจากประเทศเมียนมา ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 65% ของรายได้ Maxxcare ทั้งหมด ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากศูนย์กระจายสินค้าใหม่เป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมา ช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตและการขยายฐานลูกค้าของบริษัท
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 คาดกำไรสุทธิจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้กิจการร่วมค้าเมก้า มาลี การเจาะตลาดใหม่ ๆ และผลบวกจากการเพิ่มทีมการตลาดก่อนหน้านี้ในประเทศเมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย
ด้าน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทรายงานกำไรไตรมาส 4/61 แตะจุดสูงสุดใหม่ และสูงกว่าคาดการณ์ถึง 5% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งจาก Mega We Care และ Maxxcare รวมถึงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายและการบริหารต่อยอดขายที่ปรับตัวลดลงด้วย
ส่วนทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/61 ด้วยความต้องการที่แข็งแกร่งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ CMV ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่ม Maxxcare ขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามช่วงไตรมาส 1 ปกติแล้วจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น จึงคาดว่าผลประกอบการจะลดลงจากไตรมาส 4/61 อย่างมาก