SETWatch: 4 มุมมองบิ๊กกองทุนต่อปมเสี่ยงตลาดหุ้นไทยจากเกมยื้อตั้งรัฐบาล 2 ขั้ว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 4, 2019 09:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

อุณหภูมิทางการเมืองไทยร้อนระอุขึ้นทุกขณะภายหลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค.คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการ พรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตสูงสุดจาก 350 เขต พบว่าพรรคเพื่อไทยได้สูงสุด 137 ที่นั่ง รองลงมาคือพรรคพลังประชารัฐ 97 ที่นั่ง และพรรคภูมิใจไทย 39 ที่นั่ง ซึ่งยังไม่รวม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่จะต้องคำนวณกันภายหลังและยังเป็นที่ถกเถียงวิธีการคำนวณ ขณะที่คะแนนเสียงรวมที่ได้รับจากประชาชน (Popular Vote) สูงสุดเป็นของพรรคพลังประชารัฐถึง 8.4 ล้านคะแนน โดยมีพรรคเพื่อไทยตามมาเป็นอันดับ 2

ภายใต้สถานการณ์ที่ 2 ขั้วพรรคการเมืองที่อาจมีเสียง ส.ส.สูสีกัน ทำให้มีความกังวลถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะมีความยืดเยื้อ มีเหตุความวุ่นวายทางการเมือง หรืออาจจะถึงขั้นนำไปสู่ภาวะเกิดสูญญากาศทางการเมืองที่ไม่มีพรรคใดสามารถรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ (เดดล็อค) นั้น ซึ่งหลายฝ่ายกังวลผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติที่จะถูกบั่นทอนลงทันที

จาก 4 มุมมองผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดหุ้นไทย เกี่ยวกับความคลุมเครือการจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 2 ขั้วพรรคการเมืองจะทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในสายตาบรรดาผู้จัดการกองทุนทั้งหลายอยู่อีกหรือไม่ ?

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง ยอมรับว่า คะแนนของพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐที่ค่อนข้างสูสี ซึ่งอาจจะทำให้โอกาสที่จะเกิดสุญญากาศไม่มีพรรคไหนรวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่อยากให้ทุกฝ่ายมองประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเสร็จเดือน มิ.ย.62 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในระยะสั้นปัจจัยการเมืองจะมีผลกระทบบรรยากาศลงทุนตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่อยากให้นักลงทุนไปโฟกัสกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่จะเป็นส่วนขับเคลื่อนราคาหุ้นไทยระยะกลางถึงยาว

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการอำนวยการ บลจ. ทิสโก้ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ท่ามกลางการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 2 ขั้วพรรคการเมือง ในฐานะที่เป็นผู้จัดการกองทุน ยังคงยึดหลักมุมมองลงทุนระยะยาว โดยอิงกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก ถ้าการตั้งรัฐบาลรอบนี้มีความยืดเยื้อ ก็ต้องใช้ความอดทนถือหุ้นข้ามผ่านพ้นความผันผวนไปให้ได้ เพราะมองว่าปัจจัยการเมืองเป็นปัจจัยรอง แต่ก็ต้องเฝ้าติดตามใกล้ชิด เพราะนโยบายรัฐบาลมีผลกระทบเศรษฐกิจและการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในระยะถัดไป

เราได้ประเมินกรณีถ้าพรรคพลังประชารัฐกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เชื่อว่าการเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจน่าจะมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นการลงทุนภาครัฐ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง,วัสดุก่อสร้าง ,ธนาคาร และกลุ่มอิงกับการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศจะได้รับอานิสงส์ แต่กรณีถ้าพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คงต้องมาทบทวนกันว่าแนวทางบริหารประเทศ จะเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้หรือไม่ อาจไม่เหมือนกับแนวทางรัฐบาลชุดเดิม หากเป็นเช่นนั้น คงต้องมาปรับพอร์ตเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็น Defensive Stock ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น หรืออาจต้องทบทวนปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่

"ถึงตอนนี้เดายาก เพราะเสียงที่ออกมาก็ใกล้ๆกัน ต้องรอดูความชัดเจน การปรับกลยุทธ์ลงทุนหุ้นเวลานี้ ผู้จัดการกองทุน คงต้องวิเคราะห์มูลค่าหุ้นและผลประกอบการไปก่อน ปัจจัยการเมืองเป็นสิ่งที่เรามอนิเตอร์อยู่แล้ว คือไม่ได้ปล่อยล้อฟรี ลงทุนอะไรก็ได้ช่วงนี้คงไม่ใช่ ต้องกลับดูพื้นฐานหุ้นรายตัวเป็นหลักก่อน จะปรับน้ำหนักหรือธีมลงทุนอย่างไร คงต้องรอความชัดเจนว่ากลุ่มไหน ,พรรคไหน,จะเข้ามาบริหารประเทศต่อจากนี้"นายธีรนาถ กล่าว

ผู้จัดการกองทุน ทิสโก้ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าการเมืองไทยมีความชัดเจนเร็วก็ยิ่งดีกับความเชื่อมั่นผู้ลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติ เพราะแม้ว่ากำไรบริษัทจะเติบโตดี แต่หากไม่มี Fund Flow เข้ามาขับเคลื่อนราคาหุ้น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยจะถูกจำกัด เมื่อใดที่ Fund Flow เข้ามาแล้ว ตลาดฯจะกลับไปซื้อขายบน P/E สูงขึ้น ใช้สมมติฐานกำไรในอีก 1-2 ปีข้างหน้ามาคำนวนทันที

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ ให้ความเห็นกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ปัจจัยที่เฝ้าระวังมากที่สุดในเวลานี้คือความไม่ชัดเจนทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังจากเลือกตั้งผ่านไปแล้ว โดยมองว่าหากมีความยืดเยื้อและมีความคลุมเครือก็มีโอกาสดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงไปสู่แนวรับ 1,575 จุด แต่หากยังไม่ชัดเจนในระยะ 1 เดือนข้างหน้า เชื่อว่าการเคลื่อนไหวดัชนีฯ จะเป็นลักษณะแกว่งตัวกรอบแคบ แต่หากชัดเจนขึ้นในช่วงสั้นจะเป็นปัจจัยผลักดันดัชนีฯดีดตัวขึ้นทันที โดยประเมินเป้า SET Index ปีนี้อยู่ที่ 1,723 จุด

พร้อมย้ำว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยกังวลกับปัจจัยภายนอกประเทศ แต่ล่าสุดสถานการณ์เริ่มผ่อนคลายทั้งกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีท่าทีพักศึกสงครามการค้ากับจีน แต่สิ่งที่ให้ความสำคัญและติดตามใกล้ชิดคือภาพรวมเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตได้ตามความคาดหวังหรือไม่ ,รัฐบาลใหม่จะสามารถจัดตั้งได้เร็วเพียงใด มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศ และสานต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมาได้มากน้อยอย่างไร

ปัจจุบันยังให้น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น "Neutral" โดยพร้อมปรับพอร์ตการลงทุนไปตามสถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาล โฟกัสนโยบายด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก เน้นกลุ่มที่อิงการบริโภคภายในประเทศ ,การใช้จ่ายภาครัฐและเอกชน,และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ถ้าหากราคาน้ำมันสูงกว่านี้ อาจต้องเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ปัจจุบันนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ได้ใช้ความระมัดระวังมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เนื่องจากได้ประเมินผลกระทบหลายกรณีเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนทั่วไปยังไม่ได้เพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยมากนัก สะท้อนได้จากปลายปีที่แล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง กังวลประเด็น สภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นมากกว่าพันธบัตรอายุยาว (Inverted Yield Curve) และสงครามการค้าจีนและสหรัฐฯจะกระทบเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เมื่อปัจจัยดังกล่าวคลี่คลาย ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกหลายตลาดฯกลับขึ้นมาสู่จุดเดิม

แต่ตลาดหุ้นไทยกลับขึ้นได้ช้ากว่าและขึ้นน้อยกว่าตลาดอื่น นั่นแปลว่านักลงทุนต่างชาติได้ทยอยขายเงินลงทุนออกไป และนักลงทุนในประเทศใช้ความระมัดระวังมากขึ้น กรณีดังกล่าวจึงทำให้ประเมินว่าความไม่ชัดเจนการตั้งรัฐบาล ไม่น่าจะกระทบเชิงลบมากนักและมีกรอบขาลงจำกัด ดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวเพื่อรอปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน

และอีกประเด็นที่ยังสนับสนุนตลาดทุนคือผลตอบแทนตราสารหนี้ ไม่มีทิศทางปรับขึ้นได้ ทำให้ตลาดหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจด้านผลตอบแทน โดยมีมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงและไม่ถูกจนเกินไป ดังนั้นเชิงปรับพอร์ตลงทุนต้องเน้นป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้นมาเก็ตแคบขนาดใหญ่, หุ้นปันผล,หุ้นที่มีมูลค่าเติบโตที่ดีในอนาคต เป็นต้น

"โฉมหน้ารัฐบาล ตอนนี้คงเดากันล้วนๆ เราตอบไม่ได้ว่าการตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร แต่เป็นสิ่งที่เราระมัดระวังอยู่แล้วตั้งแต่ต้นปี และเป็นประเด็นหลักที่กำลังติดตามใกล้ชิด สิ่งที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาขึ้นได้ดีกว่าเดิมคือต้องปลดล็อก 3 ปัจจัยหลักคือสงครามการค้าต้องคลี่คลายเพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาส่งออกสูง,การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้ถูกจำกัดแล้ว, การฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลชุดใหม่ถ้ามี ส.ส.เกิน 300 เสียงขึ้นไป การบริหารประเทศมีความคล่องตัวมากขึ้น แต่ถ้าเสียงต่ำกว่านั้น เสี่ยงที่การเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจไทยจะช้าลงกว่าที่หวัง"นายวศิน กล่าว

https://youtu.be/N6EUpekd6lo


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ