บล.ไอร่า ประเมินทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือน เม.ย.ยังคงมีความผัวผวนด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบาง และมีโอกาสที่นักลงทุนจะชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ช่วงกลางเดือน แต่ในขณะเดียวกันยังคงมีปัจจัยบวกที่ยังน่าจับตาเช่นเดียวกัน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/62 ที่คาดว่าภาพรวมจะออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับทิศทางราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยหนุนจากแผนลดการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านและเวเนซูเอลา ทำให้ภาวะตลาดน้ำมันตึงตัว ส่งผลดีต่อราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน
นอกจากนี้ ยังให้น้ำหนักประเด็นกรณีการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาล คาดว่าจะชัดเจนหลังประกาศผลเลือกตั้ง อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 9 พ.ค.62 ดังนั้น มองว่าหากมีความชัดเจนจะส่งผลเชิงบวกต่อ Sentiment ด้านตลาดทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากจะมีเสถียรภาพทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ส่งผลให้ Fund Flow มีโอกาสไหลกลับอย่างชัดเจนอีกครั้ง
"กรอบสัญญาทางเทคนิค ทางวิจัยมองว่า หลังเดือนมีนาคม SET เคลื่อนไหว Sideway ระหว่าง 1,615-1,646 จุด และได้ทำ Double Bottom เมื่อดัชนีหลุด 1,620 จุด ถึง 2 ครั้ง และสามารถดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นที่บริเวณ 1,615 จุดจะมีนัยสำคัญมาก เพราะหากหลุดไปจะเป็นสัญญาณขายที่มี Target ถัดไปที่ 1,580 จุด เป็นอย่างน้อย แต่หาก Break 1,646 จุด จะมีแนวต้าน Double Top ถัดไปที่ 1,680 จุด ซึ่งเป็นจุดที่มีนัยสำคัญมากเช่นกัน เพราะหาก Break ได้จะเป็นสัญญาณซื้อขนาดใหญ่ที่มี Target ถึง 1,750 จุดเป็นอย่างน้อย"ฝ่ายวิจัย บล.ไอร่า ระบุ
พร้อมกันนี้ ทางฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำกลยุทธ์ลงทุน ในหุ้นที่น่าลงทุน โดยให้น้ำหนักไปยังกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ BGRIM และกลุ่มโรงพยาบาล แนะนำ BCH เนื่องจากมองว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตสม่ำเสมอ แม้เศรษฐกิจมีความผันผวน
นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากโครงการต่างๆ ที่ทยอยเปิดประมูล พร้อมคาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากแผนการลงทุนต่อเนื่องของรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เช่น STEC เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มพลังงาน แนะนำ PTTEP โดยคาดว่ายังได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการไตรมาส 1/62 มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากคาดไม่มี Stock loss เช่นเดียวกับไตรมาส 4/61 หลังราคาน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่มีความน่าสนใจทั้งจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มกลับมาเติบโต อาทิ CBG และหุ้นที่มีการจ่ายปันผลเป็นประจำ เช่น ADVANC (Div.Yield ประมาณ 4.0%) และ TSR (Div.Yield ประมาณ 8.0%) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัย ยังแนะนำให้นักลงทุนจับตาปัจจัยต่างประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรด้านการลงทุน โดยเฉพาะความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจ ทั้งจากตัวเลขเศรษฐกิจของหลาย ๆ ประเทศ และติดตาม Inverted yield curve ที่เป็น 1 สัญญาณแสดงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในอีก 12 หรือ 24 เดือนข้างหน้า ขณะที่คาดยังมีความไม่แน่นอนทั้งต่อข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และ ประเด็นการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ขณะที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เม.ย.- 1 พ.ค. ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นไปตามการส่งสัญญาณก่อนหน้าชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้