นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทรทัน โฮลดิ้ง (TRITN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 62 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,425 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างในมือ (Backlog) มูลค่าราว 10,000 ล้านบาท ที่จะเข้ามารับรู้ในปีนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ งานก่อสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท และงานก่อสร้างคลัง LNG ที่เมียนมา มูลค่า 1,900 ล้านบาท และงานท่อส่งน้ำมัน มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังเน้นรับงานรับเหมาก่อสร้างขนาดเล็กมูลค่าราว 100-200 ล้านบาทต่องาน ที่มีการรับรู้รายได้รวดเร็วเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมราว 1,000 ล้านบาท
ในขณะเดียวกันบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อเตรียมการเข้าลงทุนธุรกิจพลังงาน ได้แก่ โรงไฟฟ้า 5-7 โครงการ และสัมปทานกลุ่มสินค้าเพื่อเป็นวัตถุดิบที่จะใช้ในการก่อสร้าง โดยปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือประมาณ 1,100 ล้านบาท และสามารถกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้เพิ่มเติม ซึ่งบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่า เพียงพอที่จะใช้ลงทุนในโครงการอนาคต โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะมีสัดส่วนรายได้ประจำอยู่ที่ 30-50% ภายใน 4-5 ปี (ปี 65-66)
นายเชิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับรายละเอียดการเข้าลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ทั้งการเข้าซื้อกิจการ และเข้าร่วมลงทุน ดังนี้ บริษัทได้จัดตั้ง บริษัท ไทรทัน พาวเวอร์ จำกัด (TPW) ถือหุ้น สัดส่วน 99% เพื่อดำเนินธุรกิจพลังงานทางเลือก โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา 3-4 โครงการ ได้แก่ โครงการไบโอแก๊ส กำลังผลิตไฟฟ้า 3 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าไบโอแมส ขนาดกำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เมียนมา ขนาดกำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการโซลาร์ฟาร์มที่มาเลเซีย ขนาดกำลังผลิต 30 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าคาดจะเห็นความชัดเจนในปี 62 ทั้งหมด
ส่วนบริษัท ไทรทัน กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (TGE) ถือหุ้นในสัดส่วน 51%มีโครงการขนาดใหญ่ที่มาเลเซีย 2-3โครงการ เช่น โรงฟ้าขยะ ซึ่งขณะนี้พันธมิตรอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตโดยจะรู้ผลของการเตรียมความพร้อมเข้าลงทุนในปี 62
ขณะที่บริษัท ไทรทัน รีซอร์สเซส จำกัด (TRS) ถือหุ้นสัดส่วน 99% โดยจะดำเนินธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่ได้รับสัมปทานบ่อทรายที่มาเลเซีย ซึ่งขณะนี้มีความต้องการถมที่ดินในทะเลเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงเตรียมเข้าลงทุนเหมืองหินในไทย เนื่องจากขณะนี้พันธมิตรได้รับสัมปทานเหมืองหินเป็นระยะเวลา 20 ปี
"นอกจากงานรับเหมาก่อสร้างแล้ว เราก็จะเน้นการขยายงานด้านที่เป็นรายได้ประจำมากขึ้น ซึ่งเราก็มีการศึกษาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราคิดว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า เราคงจะเห็นสัดส่วนรายได้ประจำอยู่ที่ 30% หรืออาจจะไปถึง 50% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีเสถียรภาพมากขึ่น และมีการกระจายรายได้ที่ดีด้วย"นายเชิดศักดิ์ กล่าว