นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของธนาคารในปี 62 คาดว่ามีโอกาสลดลงหรือไม่เติบโตจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายจากการลงทุนด้านดิจิทัลตามแผนโครงการ Transformation ที่มีงบลงทุนรวม 4 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 59-62 โดยในปี 62 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนการลงทุนในโครงดังกล่าวจะใช้งบลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท สูงกว่า 3 ปีที่ผ่านมาที่ลงทุนเฉลี่ย 6-7 พันล้านบาท/ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายในปีนี้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้านดิจิทัลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเริ่มสร้างรายได้และกำไรเข้ามาแล้วบางส่วน รวมถึงในช่วงปลายปีนี้จะมีการพัฒนาปริการด้านการให้สินเชื่อผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งจะมีผลิตภัณฑ์เพิ่มเข้ามาที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้ธนาคารขยายฐานลูกค้าและสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น แต่ยอมรับว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นคงยังไม่สามารถชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า ทำให้ค่าใช้จ่ายในปีนี้ยังคงกดดันต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคาร
ธนาคารยังคงต้องเดินหน้าควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม โดยยังคงผลักดันและกระตุ้นให้ลูกค้าหันมาใช้บริการผ่านโมบายล์แอพพลิเคชั่น SCB EASY ให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 9 ล้านราย เนื่องจากช่องทาง SCB EASY ทำให้ต้นทุนการบริการของธนาคารลดลง พร้อมกันนั้นยังมีการปิดสาขาปีนี้อีกราว 200 สาขา จากปีก่อนที่ปิดสาขาไป 130 สาขา โดยที่การปิดสาขา 1 สาขา จะช่วยลดต้นทุนลงได้ราว 10 ล้านบาท/สาขา/ปี
พร้อมกันนี้ ธนาคารจะยังเดินหน้าผลักดันอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ในปี 62 ให้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แม้ว่าในปีนี้จะเผชิญกับความท้าทายในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ธนาคารจะพยายามลดต้นทุนบางส่วนลง พร้อมหารายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีเข้ามาชดเชย รวมทั้งเริ่มรับรู้กำไรบางส่วนจากการลงทุนด้านดิจิทัลที่เข้ามาเสริมในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ ROE ของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 13-14% ในปีนี้ตามเป้าหมาย จากปีก่อนอยู่ในระดับ 10%
ขณะที่การดำเนินงานของธนาคารในปีนี้จะมีการปรับพอร์ตสินเชื่อไปเน้นที่กลุ่มสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กมากขึ้น เพราะเป็นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนดี หลังจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารไม่ได้รุกกลุ่มสินเชื่อทั้ง 2 มากนัก แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ธนาคารจะเน้นการควบคุมคุณภาพลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพและพิจารณาให้สินเชื่อตามเกณฑ์อย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าการควบคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ (NPL) จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 2.85% ขณะเดียวกันอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) จะรักษาให้อยู่ที่ 146.7% ใกล้เคียงกับปีก่อน และธนาคารยังมั่นใจว่าสินเชื่อในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้า 5-6%
สำหรับการเสนอขายหุ้นใน บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต (SCBLife) ให้กับกับริษัท FWD Group Financial Services Pte. Ltd. (FWD) เนื่องจากธนาคารต้องการมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาพัฒนาและบริหารธุรกิจประกันภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามนโยบายของธนาคารที่ต้องการบริหารความมั่งคั่งของลูกค้าด้วยการบริการที่ดีระดับโลก ซึ่งการเข้ามาของ FWD ช่วยตอบโจทย์เรื่องดังกล่าว และธนาคารยังสามารถเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันให้กับ FWD ด้วย
นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรม และกรรมการอิสระ SCB กล่าวว่า การประชุมผู้ถือหุ้น SCB ในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนจะทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม และเป็นครั้งสุดท้ายที่รับตำแหน่งเป็นกรรมการ หลังจากที่ทำหน้าที่มาเป็นระยะเวลา 33 ปี 6 เดือน เห็นการเติบโตของธนาคารในช่วงสถานการณ์ต่างๆมาหลากหลาย และสามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยดี จนทำให้วันนี้ธนาคารสามารถยืนยัดความเป็นผู้นำได้
และหลังจากที่ตนหมดวาระไปแล้วจะมีกรรมการท่านใหม่มาสานงานต่อ โดยนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ SCB จะมาทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแทน ในส่วนข่าวลือของการที่นายวิชิต จะออกนั้นไม่ทราบเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าว และยืนยันว่านาย วิชิต ยังทำงานใน SCB ตามปกติ