บมจ.มั่นคงเคหะการ (MK) ตั้งเป้ายอดขายในปี 51 ที่ 2.7 พันล้านบาท เติบโต 25-30% จากปี 50 ที่มียอดขายกว่า 2.1 พันล้านบาท ซึ่งโตจากปีก่อน 20% โดยจะมาจากการขายในโครงการเดิมที่มีอยู่แล้วถึง 17 โครงการ จำนวนกว่า 2,000 ยูนิต และ จากโครงการใหม่อีก 1 โครงการ คือ โครงการชวนชื่นโมดัส แจ้งวัฒนะ มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท จำนวน 260 ยูนิต
ปีนี้บริษัทจะมีการเปิดโครงการชวนชื่นโมดัส แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ในช่วงกลางปีนี้ซึ่งจะทำให้การเปิดโครงการในปีนี้รวมเป็น 17 โครงการ โดยเป็นโครงการใหม่เพียง 1 โครงการ ที่เหลือเป็นการขยายเฟส
"นับว่าเพียงพอสำหรับการสร้างยอดขายได้ตามที่ประมาณการไว้" นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร MK กล่าว
นอกจากนี้ ในปีนี้ยังคงมีปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐและเอกชนจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค อีกทั้งโครงการต่างๆของบริษัทที่อยู่ระหว่างการขายในปัจจุบันและโครงการที่กำลังจะเปิดใหม่ ก็เป็นระดับราคาที่ยังมีความต้องการ
น.ส.ชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ MK กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาที่ดินในการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ที่มีระดับราคาขายไม่เกิน 2 ล้านบาท เนื่องจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่จะมีโครงการบ้านเดี่ยวอย่างเดียวแต่คาดว่าโครงการทาวน์เฮาส์จะเห็นได้ในปีหน้าย่านชานเมืองนอก-ในและการเพิ่มโครงการทาวน์เฮาส์จะเป็นการรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ให้เติบโตในอัตราที่ดี
โดยบริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการซื้อที่ดินปีนี้ ประมาณ 600 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะเป็นการนำมาใช้ในการทำโครงการทาวน์เฮ้าส์ด้วย โดยเม็ดเงินลงทุนจะมาจากการกู้ 65% และที่เหลือจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งการกู้ไม่มีปัญหาเนื่องจากมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในอัตราที่ต่ำ 0.55 เท่า
นอกจากนี้ จากการที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ชะลอตัวลงจากปัญหาเศรษฐกิจและราคาน้ำมันจึงทำให้มองว่าในปีนี้บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2.5 พันล้านบาท จากปีก่อนที่คาดว่ายอดรับรู้รายได้จะอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมี backlog 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้ในปีนี้
บริษัทคาดว่า ในปีนี้อัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 50 ที่อยู่ที่ 10% เล็กน้อย เนื่องจากการปรับลดค่าใช้จ่ายรวมถึงการจะปรับขึ้นราคาขายบ้าน ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาราคาเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักซึ่งหากปรับขึ้นในระดับ 4-5% ก็จะพิจารณาปรับราคาขายขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันต้นทุนเหล็กมีผลต่อบริษัทเพียง 2-3% เท่านั้นถือว่าน้อย และในช่วงที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการสั่งกระเบื้องจากประเทศจีนจึงทำให้ต้นทุนตรงนี้ลดลงไปได้ส่วนหนึ่ง
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/เสาวลักษณ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--