นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ในปี 62 จะเติบโต 5% จากปีก่อน เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจเดิมทั้งในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง แช่เย็น และสินค้าที่เกี่ยวข้อง จากการเพิ่มปริมาณการขายให้มากขึ้น โดยปี 61 มีกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปมียอดขาย 62,263 ล้านบาท และกลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งฯ มียอดขาย 52,793 ล้านบาท อีกทั้งจะเติบโตจากการจัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food Service) และหน่วยธุรกิจ Ingredients จากการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และเปิดตลาดใหม่
ขณะที่บริษัทจะเน้นการทำกำไรมากขึ้น โดยคาดว่าอัตราการทำกำไรในปี 62 จะปรับตัวดีขึ้นจากการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานในทุกภาคส่วน และการฟื้นตัวของธุรกิจล็อบสเตอร์ในทวีปอเมริกาเหนือ รวมทั้งการลงทุนในบริษัท อะแวนติ โฟเซ่น ฟู้ด หรือธุรกิจอาหารกุ้ง และผลิตภัณฑ์อาหารกุ้งในประเทศอินเดียก็มีการเติบโตอย่างมาก
รวมถึงบริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจทูน่าออยล์ที่เยอรมนี ซึ่งเพิ่งเริ่มเดินเครื่องผลิตไปเมื่อต้นปีนี้ โดยธุรกิจดังกล่าวมีมาร์จิ้นสูงมาก น่าจะเป็นอีกปัจจัยหลักในการผลักดันการทำกำไร ขณะที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปิดกิจการธุรกิจแซลมอนแช่เย็นในประเทศสก็อตแลนด์ เนื่องจากประสบผลการดำเนินงานขาดทุน ซึ่งจะส่งผลต่ออัตรากำไรธุรกิจแซลมอนโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย
นายธีรพงษ์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทฯ จะไม่มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษแล้ว หลังจากปีก่อนตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษทางกฎหมาย คิดเป็นมูลค่า 44 ล้านเหรียญฯ เพื่อชดเชยกับร้านค้าปลีก Walmart ภายใต้คดีต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) และคดีอื่นๆ โดยความคืบหน้าของคดีดังกล่าวปัจจุบันยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากต้องใช้เวลาในการต่อรองกับคู่คดี เชื่อว่าภายในปีนี้คดีจะสิ้นสุดลง
"ในปีนี้เราเชื่อว่าการดำเนินงานมีแนวโน้มดีมากขึ้นจากปีก่อน แต่ยังคงเผชิญกับสภาวะตลาดของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงอยู่ ส่วนปัจจัยค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า คงไม่ส่งผลดีต่อการส่งออก แต่เราก็มีการบริหารทางการเงินในระดับที่ดี ดูได้จากที่ผ่านมา เรามีการทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนทุกปี อย่างไรก็ตามเราจะพยายามมองข้ามในปัจจัยนี้ โดยจะหันมามุ่งเน้นการออกสินค้าที่มีกำไรสูงแทน
นายธีรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญกับการเจรจากับคู่ค้าและปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิต ควบคุมต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และประสิทธิภาพในการดำเนินงาน, ระมัดระวังในการเข้าซื้อกิจการ โดยมองการลงทุนเล็กๆ มากกว่าการซื้อกิจการขนาดใหญ่, มุ่งขยายตลาดในตลาดใหม่ๆ และใช้แบรนด์ระดับโลกของไทยยูเนี่ยน โดยเฉพาะในตลาดจีน, การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Ingredients เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการผลิต
บริษัทยังคงเป้างบลงทุนปีนี้ไว้ที่จำนวน 4,800 ล้านบาท โดยจะเน้นการลงทุนในด้านเครื่องจักรและปรับปรุงอาคาร รวมถึงลงทุนในธุรกิจอาหารกุ้งในประเทศอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตามแผนการซื้อกิจการ (M&A) ในขณะนี้ยังไม่เห็นความชัดเจน เนื่องจากยังไม่มีธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่งบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการทำธุรกิจหลักให้มีกำไรมากขึ้นไปก่อน
สำหรับแผนการนำบริษัทย่อย บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (TFM) ที่ TU ถือหุ้น 66.9% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจในอนาคตนั้น คาดว่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะการรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ในช่วงกลางปีนี้ และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงปลายปี 62 โดยมี บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
พร้อมกันนี้ ยังมองนโยบายของพรรการเมืองบางพรรคที่หาเสียงว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วันว่า จะส่งผลให้คนต้องออกจากงานสูงขึ้น เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ภาคการผลิตการลงทุนเครื่องมือเครื่องจักรมากขึ้นเพื่อทดแทนการใช้แรงงานคน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทยอยปรับลดพนักงานไปแล้วราว 1,000 คน และยังจะปรับลดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนได้ว่าบริษัทดูเรื่องต้นทุนอย่างใกล้ชิด