บมจ.ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 150,000,000 หุ้น คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และมีความประสงค์จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในลักษณะเครือข่ายขายตรง (Multi-level Marketing หรือ MLM) โดยมีบริษัทย่อยทั้งหมด 3 บริษัท คือ บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ แล็บบอราทอรี่ จำกัด (SML), บริษัท ซัคเซส สปิริต จำกัด (SPT), SCM Spirit (Myanmar) Co., Ltd. (SPM) โดยบริษัทได้ถือหุ้นใน SPT, SML และ SPM ในสัดส่วน 100% ในแต่ละบริษัทฯ
การประกอบธุรกิจหลักแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่ายเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจแบบเครือข่ายด้วยนโยบายจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบ"แผนธุรกิจจ่ายผลตอบแทน"ที่เหมาะสมและเน้นการพัฒนานักธุรกิจ โดย ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 บริษัทมีสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จัดจำหน่าย 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, เครื่องสำอาง, ของใช้ส่วนตัว, สินค้าใช้ในครัวเรือน, ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยบริษัทในกลุ่มดำเนินธุรกิจแบบเครือข่าย ได้แก่ SCM
2. กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา ธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่าย ดำเนินธุรกิจโดย SPT และ SPM ซึ่ง SPT และ SPM มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการให้บริการคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครือข่าย เช่น การบริหารจัดการทั่วไป การบริหารจัดการนักธุรกิจ การตลาด การบัญชี การวางแผนภาษี ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น ปัจจุบัน SPT จะให้บริการทั้งภายในกลุ่มบริษัทและตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่างประเทศทุกราย ยกเว้นตัวแทนในเมียนมา
3. กลุ่มธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์และโรงงานผลิตสินค้า ดำเนินธุรกิจโดย SML โรงงานมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 15,000 ชิ้นต่อเดือน ปัจจุบันผลิตสินค้าเพียงจำนวน 2 SKUs ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ F4 และผลิตภัณฑ์ Orysamin และยังคงมีกำลังการผลิตคงเหลืออีกประมาณ 10,000 ชิ้นต่อเดือน
บริษัทมีแผนลงทุนในอนาคตเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานและศักยภาพในการแข่งขัน ได้แก่ โครงการก่อสร้างหอประชุมเพื่อจัดงานสัมมนา วางงบลงทุน 100 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างจนเสร็จสิ้นประมาณไตรมาส 3/64 และ โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตสินค้าแห่งใหม่ และสร้างศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์ที่มีห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์สำหรับทุกผลิตภัณฑ์ รวมถึงอาคารคลังสินค้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐานสากล วางงบลงทุน 80 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จราวไตรมาส 1/65
นอกจากนั้นยังจะมีโครงการขยายสาขาในลักษณะทำสัญญาเช่าพื้นที่ระยะสั้นประมาณ 3 ปี และขะพิจารณาต่ออายุสัญญาเช่าเพิ่มในภายหลังได้ ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มเติม 15 สาขาภายใน 3 ปี คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 8 ล้านบาทต่อสาขา รวมเป็นเงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท
ณ วันที่ 6 มี.ค.62 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 300,000,000 บาท แบ่งเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนออกและชำระแล้วจำนวน 225,000,000 บาท แบ่งเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 450,000,000 หุ้น ทั้งนี้ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO แล้ว บริษัทจะมีทุนที่ออกและชำระแล้วจำนวน 300,000,000 บาท แบ่งเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 600,000,000 หุ้น
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 6 มี.ค.62 ประกอบด้วย นายสิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ถือหุ้น 184,500,000 หุ้น คิดเป็น 41% หลังเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 30.75%, นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ถือหุ้น 138,600,000 หุ้น คิดเป็น 30.80% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 23.10%, นางอนัญญา เยาว์วรรณศิริ ถือหุ้น 47,700,000 หุ้น คิดเป็น 10.60% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 7.95%
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 59-61 มีรายได้เท่ากับ 1,377.18 ล้านบาท, 1,550.02 ล้านบาท และ 1,424.25 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้รวมในงวดปี 61 ลดลง 125.77 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.11% จากงวดปี 60 เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าในต่างประเทศลดลง เนื่องจากประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นรายได้หลักในต่างประเทศเปลี่ยนแปลงด้านข้อกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายในเดือน ก.ย.61 โดยประกาศให้ชะลอการประกอบธุรกิจเครือข่ายเพื่อยกร่างกฎหมายเฉพาะให้ครอบคลุมและชัดเจนขึ้น ทำให้ตัวแทนจำหน่ายในเมียนมาไม่สามารถขายสินค้าให้กับสมาชิกใหม่ได้ รวมทั้งถูกจำกัดให้สามารถจัดจำหน่ายด้วยวิธีการขายส่งเท่านั้น นอกจากนี้ รายได้จากการจำหน่ายสินค้าผ่านนักธุรกิจในประเทศของบริษัทฯ ยังปรับลดลงเล็กน้อยตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
ส่วนกำไรสุทธิในงวดปี 59-61 เท่ากับ 80.63 ล้านบาท 81.70 ล้านบาท และ 70.69 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 5.85%, 5.27% และ 4.96% ของรายได้รวม ตามลำดับ ทั้งนี้ กำไรสุทธิเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางของรายได้ในภาพรวม อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรสุทธิลดลงในปี 60 เนื่องจากมีการปรับรายได้ค่าบริการตัวแทนจำหน่ายลดลงในเพื่อให้สะท้อนค่าตอบแทนที่เป็นไปได้ทางธุรกิจสำหรับตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศมากขึ้น และอัตรากำไรสุทธิลดลงในปี 61 จากการที่บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าให้ตัวแทนจำหน่ายสินค้าต่างประเทศลดลง ในขณะที่ยังมีต้นทุนคงที่สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 417.07 ล้านบาท หนี้สินรวม 180.69 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 236.38 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ 1,340.80 ล้านบาท ต้นทุนขายและบริการ 378.88 ล้านบาท กำไรสุทธิสำหรับงวด 70.69 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้