นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/62 บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการที่บริษัทเน้นการระบายสต๊อกออกไปมากขึ้นผ่านการทำแคมเปญ"โปรหมดเปลือก" Now or Never ที่มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งประสบความสำเร็จและทำให้ระบายสต็อกออกไปได้ส่วนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ในช่วงสิ้นเดือน มี.ค.62 ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโครงการแนวราบใหม่ในจังหวัดภูเก็ต คือ โครงการสิริ เพลส แอร์พอร์ต ภูเก็ต มูลค่า 570 ล้านบาท จำนวน 268 ยูนิต ซึ่งได้รับลการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และเป็นโครงการที่ผลักดันยอดขายเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาสแรกนี้ ทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นไปที่ 1.1 หมื่นล้านบาท จากเป้ายอดขายรวมในปี 62 ที่ตั้งไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท
ส่วนแนวโน้มของยอดขายในช่วงไตรมาส 2/62 บริษัทคาดว่าอาจจะทำไม่ได้สูงมากเท่ากับไตรมาส 1/62 เนื่องจากจะได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากการเริ่มบังคับใช้เกณฑ์การพิจาณาสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ใหม่เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินซื้อลงไปบ้าง อีกทั้งยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนของการเมืองที่ส่งผลต่อการเปิดโครงการของบริษัทที่จะมีการเปิดโครงการไม่มากนักในไตรมาส 2/62 ไม่มาก
นายอุทัย กล่าวว่า ทั้ง 2 ปัจจัยส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมีผลต่อการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทในปีนี้ด้วย ซึ่งหลังจากผ่านไตรมาส 2/62 ไปแล้วบริษัทจะทบทวนแผนธุรกิจปีนี้อีกครั้งว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังคงเดินหน้าแผนงานตามปกติ ซึ่งในช่วงนี้จะเน้นขยายตลาดในต่างจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยในไตรมาส 2/62 จะมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในหัวหิน คือ โครงการ ลา ฮาบานา ( La Habana) มูลค่า 2.4 พันล้านบาทในช่วงต้นเดือน เม.ย.นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง จากที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มโปรเจ็คต์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในโครงการที่บริษัทพัฒนา เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในพื้นที่โครงการ T77 การติดตั้ง EV Charger เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงการร่วมกับ AUDI ในการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ภายในบริษัทและจะต่อยอดไปที่ลูกบ้าน รวมไปถึงการลดการใช้พลาสติกที่ได้มีการเปลี่ยนจากการใช้ขวดและหลอดพลาสติกเป็นแก้วและหลอดกระดาษแทน
อีกทั้งในปีนี้บริษัทยังมีการกระตุ้นด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการ Tree Story ซึ่งเป็นการชูแนวคิดการพัฒนาโครงการของแสนสิริที่เน้นการรักษาต้นไม้ขนาดใหญ่ และจัดพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้และหญ้าต่างๆภายในโครงการชูเป็นจุดขายที่สำคัญของบริษัท ที่จะเป็นแรงจูงใจให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย เพราะบริษัทเชื่อว่าในอนาคตการตัดสินใจของลูกค้าจะเพิ่มด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโครงการเข้ามาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อ จากปัจจุบันที่ 3 อันดับแรกที่ลูกค้าให้ความสำคัญในการเลือกซื้อ ได้แก่ ทำเลที่ตั้ง ราคา และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ
นายอุทัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลงทุนด้านการปลูกต้นไม้และพัฒนาพื้นที่สีเขียวภายในโครงการของแสนสิริมาแล้วทั้งหมด 450 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 200 โครงการ มูลค่าลงทุนในส่วนของพื้นที่สีเขีนว 10-15 ล้านบาท/โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 250 โครงการ มูลค่าลงทุน 5 ล้านบาท/โครงการ โดยมีโครงการ The Monument ทองหล่อ เป็นโครงการที่บริษัทเริ่มโครงการ Tree Story อย่างเห็นได้ชัด จากการพัฒนาที่ยังคงรักษาต้นไม้ขนาดใหญ่ และมีการปลูกต้นไม้มากที่สุด ซึ่งคาดว่าเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดแล้วในย่านทองหล่อ