บล.ทิสโก้ ระบุการเมืองกดดัน SET มี.ค.ชะงัก แต่มั่นใจตั้งรัฐบาลได้-อัดฉีดฟื้นศก.ครึ่งปีหลังคาดดัชนีปลายปีแตะ 1,800 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 10, 2019 14:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันในเดือน มี.ค.62 ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง 10% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 41,000 ล้านบาท/วัน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ตลอดเดือน มี.ค.62 เคลื่อนไหวไม่มากนัก - 0.9% เทียบกับเดือนก่อนหน้า

หากเทียบดัชนีตลาดหุ้นประเทศอื่นทั้งยุโรป จีน เกาหลีใต้ แล้ว ตลาดหุ้นไทยขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงเดือน ธ.ค.61 น้อยกว่าตลาดอื่นๆ (Under Perform ) สาเหตุจากความกังวลต่อปัจจัยการเมืองในประเทศ และเมื่อประกอบกับความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วยแล้ว จึงส่งผลให้นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะลังเลและไม่กล้าลงทุน

ในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมานักลงทุนในตลาดหุ้นไทยใส่เกียร์ว่าง แต่ส่วนตัวมองว่าในระหว่างที่นักลงทุนรายอื่นๆ เป็นกังวลกับปัจจัยความไม่แน่นอนที่รออยู่มากนั้น เป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปลงทุน เพราะไม่ว่าอย่างไรการเมืองไทยก็จะมีความชัดเจนในที่สุด โดยคาดการณ์ว่าพรรคพลังประชารัฐมีโอกาสจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ว่าขั้วพรรคการเมืองใดจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปแตะ 1,700 จุดได้ในช่วงเดือน พ.ค.62

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในเชิงเทคนิคปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อดัชนีหุ้นไทยแล้ว ขณะที่ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/62 และไตรมาส 4/62 ของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลใหม่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบจากการอนุมัติโครงการต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งจะช่วยให้กำไรบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้นตามมา

ประกอบกับหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์ในเชิงบวกจากการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เรื่องการนำหุ้นเข้าคำนวณดัชนี MSCI Emerging Market (MSCI) คาดว่าจะมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาซื้อหุ้นไทยประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และทำให้หุ้นไทยในช่วงปลายปี 62 ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,800 จุดได้

ส่วนเศรษฐกิจโลก แม้ปัจจัยชี้วัดเรื่องการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่าง "Inverted Yield Curve" หรือปรากฎการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวกับอัตราผลตอบแทนระยะสั้นตัดกัน ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นเค้าลางว่าเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว และอัตราผลตอบแทนระยะสั้นเข้าใกล้กันมากขึ้น รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของญี่ปุ่น ยุโรป จีน ในเดือน มี.ค.ที่ต่ำสุดในรอบหลายปี

แต่ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป จีน ต่างก็เริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพื่อเข้าไปพยุงเศรษฐกิจแล้ว จึงคาดว่าจะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจโลกไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ และจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางนี้เอง จะทำให้สภาพคล่องทั่วโลกยังคงอยู่ หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้แกว่งตัวในลักษณะออกข้างหรือค่อยๆ ปรับขึ้นได้

สำหรับหุ้นแนะนำในเดือน เม.ย.62 มีทั้งหมด 4 ธีม ธีมแรก คือ หุ้นที่คาดว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของ MSCI คือ BDMS, SCC, CPN และ LH ธีมที่สอง คือ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ ทั้งการบริโภคและการลงทุน คือ MINT, STEC, AMATA และ WHA ธีมที่สาม คือ หุ้นที่คาดว่าแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/62 จะออกมาดี คือ JWD, ANAN, ROJNA และ SEAFCO และธีมสุดท้าย คือ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลบวกหากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อคืน คือ BBL และ PTTEP

ด้านหุ้นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น คือ PTTEP และ IRPC เพราะเป็นหุ้นที่ผลประกอบการจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมัน WTI ในไตรมาส 1/62 ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 15% ซึ่งหุ้นกลุ่มพลังงานจะประกาศผลการดำเนินงานในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนมุมมองราคาน้ำมันในไตรมาสที่ 2/62 คาดว่าราคาน้ำมัน WTI จะขึ้นมาทดสอบแนวต้านที่ 63 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และหากผ่านไปได้จะทดสอบแนวต้านใหม่ที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะได้รับผลกระทบจากปริมาณเชลล์ออยจากสหรัฐฯ เข้ามาในตลาด จึงแนะนำให้ลงทุนในรูปแบบเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น

ส่วนราคาทองคำคาดว่าตลอดทั้งปีจะเป็นขาขึ้น ให้เป้าหมายทั้งปีไว้ที่ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีแนวต้านผ่านยากที่ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนวรับที่ 1,280-1,250 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมในพอร์ตลงทุนเมื่อราคาย่อตัวลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ