นายประสงค์ สุวิวัฒน์ธนชัย ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้เติบโตเล็กน้อยจากระดับ 1.29 หมื่นล้านบาทในปีก่อน จากการรับรู้รายได้งานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป แต่หากภาครัฐสามารถออกประมูลงานใหม่ บริษัทก็คาดหวังรายได้จะเติบโตมาอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย แต่หากรัฐเปิดประมูลได้หลายโครงการ ก็คาดหวังรายได้จะเติบโตแตะ 2 หมื่นล้านบาทในปีนี้
ขณะเดียวกันบริษัทฯ อยู่ระหว่างรอเข้าประมูลงานใหม่เข้ามาเพิ่มเติมอีก ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 9 สาย, โครงการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐบาล (PPP) ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตกช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรมฯ และโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) อีกทั้งยังสนใจเข้าประมูลโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง Missing Link รวมถึงงานโครงการขนาดเล็ก ของกรมทางหลวง และกรมชลประทาน ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ เช่น โครงการเติมน้ำหลังเขื่อนภูมิพล ในช่วงฤดูแล้ง 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดประมูลงานดังกล่าว ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล พร้อมกับสภาพความเรียบร้อยในประเทศ ซึ่งมองว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายหลังงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสร็จสิ้น หรือประมาณเดือนมิ.ย-ก.ค.62
"ปัจจุบันเรามี Backlog อยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ถ้าเราไม่โตมาก หรือไม่ได้งานใหม่เข้ามา รายได้เราก็จะอยู่ประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมไปอีก 2 ปี ขณะที่เรามีการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามเราก็รองานดี ๆ อยู่ โดยเฉพาะเรื่องของสัมปทานมอเตอร์เวย์ โดยจะจับมือกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ทำให้เราน่าจะมีโอกาสได้รับงานเข้ามาค่อนข้างสูง ซึ่งหากเราได้งานใหม่เข้ามาอีกประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท ก็อาจจะเห็นรายได้เติบโตแตะ 2 หมื่นล้านบาทในปีนี้ได้"นายประสงค์ กล่าว
นายประสงค์ กล่าวอีกว่า สำหรับงานโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก, โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, ท่าเรือแหลมฉบัง บริษัทคงไม่เข้าร่วมประมูลงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอาจจะไม่ได้มาร์จิ้นมากนัก โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นในเส้นทางที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถควบคุมอนาคตได้ และช่วยเหลือบริษัทย่อยได้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง
"เราได้ตัดสินใจแล้วว่าเราคงไม่เข้าร่วมประมูล อย่างท่าเรือแหลมฉบัง เพราะว่าสินค้าเราก็ไม่มี กองเรือเราก็ไม่มี เข้าไปถือหุ้นก็ไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ ไม่ได้เกิดประโยชน์ สู้กับมาในเส้นทางที่เราสามารถควบคุมอนาคตได้ ช่วยเหลือบริษัทลูกได้ มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งรายได้และต้นทุน เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง แต่ถ้าเราเอาไปลงทุนตรงนั้น 1-2 พันล้านบาท ตอนท้ายก็เกิดปัญหา สู้เราเอาเงินก้อนนั้นเก็บไว้อยู่กับเรา และเดินในเส้นทางที่เราเข้มแข็งดีกว่า"
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมองว่าโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้โดยสาร (ridership) มากกว่าการก่อสร้าง และโครงการสนามบินอู่ตะเภาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสายการบินที่มาลง อย่างไรก็ตามหากประเทศจีนเข้ามาลงทุน หรือมาเป็น Hub บริษัทก็มีความสนใจที่จะเข้าร่วม แต่ถ้าไม่เป็น Hub ก็ยังไม่น่าสนใจ