นายสุชาติ ชมกลิ่น กรรมการผู้จัดการ บมจ.อรินสิริ แลนด์ (ARIN) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนทั่วไป (โรดโชว์) ในพื้นที่ 4 จังหวัดที่มีฐานนักลงทุนจำนวนมาก เริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 19 เม.ย.62, อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา วันที่ 22 เม.ย.62, จังหวัดชลบุรี วันที่ 25 เม.ย.62 และปิดท้ายที่กทม.ในวันที่ 29 เม.ย.62
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ก่อนเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชน (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมี บล. คันทรี่ กรุ๊ป เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล. คิงส์ฟอร์ด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายสันต์ศักดิ์ พราวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ สายวาณิชธนกิจ 2 บล. คิงส์ฟอร์ด กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ของ ARIN เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมนำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่นักลงทุน (โรดโชว์) ในหัวเมืองใหญ่ 4 จังหวัด ก่อนที่จะมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO cละคาดว่าจะนำหุ้น ARIN เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในช่วงไตรมาส 2/62
ด้านนายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 1 บล. คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า การทำโรดโชว์ในครั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจในธุรกิจของ ARIN มากยิ่งขึ้น ด้วยปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง ผู้บริหารเป็นที่รู้จักในพื้นที่ภาคตะวันออก พัฒนาแบรนด์อรินสิริจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มีฐานลูกค้าในพื้นที่ที่เข้มแข็ง สามารถจัดหาที่ดินในราคาที่เหมาะสมและอยู่ในทำเลที่ดี ควบคุมคุณภาพสินค้าและงานก่อสร้างอย่างมีคุณภาพ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้า มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและเตรียมส่งมอบไปจนถึงปี 64 สะท้อนการรับรู้รายได้ที่แข็งแกร่งในระยะยาว
นอกจากนี้ ปัจจัยบวกจากภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออกมีโอกาสเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบในเขตเมืองและบริเวณใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ จากกระแสการผลักดันโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นศูนย์กลางแห่งการลงทุน และประตูสู่อาเซียน จึงเป็นโอกาสให้บริษัทฯ พัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยจากกลุ่มเรียลดีมานด์ การเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ ARIN และมองว่าเป็นอีกหุ้น Growth Stock ที่แข็งแกร่ง
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือ การเข้าลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา นำไปชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการในการดำเนินธุรกิจ ภายในปี 62-63
ทั้งนี้ ARIN เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในภาคตะวันออก มีเป้าหมายในการเป็นผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์และเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในภาคตะวันออกภายในปี 65 มีจุดแข็งในการเป็นบริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และอาคารชุด ให้ความสำคัญในด้านคุณภาพ ต้นทุนต่ำ โดยจะช่วยทำให้บริษัทฯ รักษาความสามารถในการทำกำไรให้เพิ่มขึ้น
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ARIN ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ภายใต้ตราสินค้า "อรินสิริ" ผลงานในอดีตของผู้บริหารกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมูลค่ารวมประมาณ 4,049 ล้านบาท ประกอบกับเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่จริง
โครงการของบริษัทตั้งอยู่ในหัวเมืองภาคตะวันออกที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและมีศักยภาพเจริญเติบโตสูง เช่น จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาและขาย 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,201.21 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการอรินสิริ สปอร์ต วิลเลจ จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 1,339.09 ล้านบาท โครงการอรินสิริ คันทรี ฮิลล์ จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 501.68 ล้านบาท และโครงการอรินสิริ ไพรเวซี่ จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 360.44 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,179.26 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอรินสิริ บีช@บ้านฉาง จังหวัดระยอง มูลค่าโครงการ 542.70 ล้านบาท, โครงการ อรินสิริ เมาท์เท่น จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 546.12 ล้านบาท ,โครงการ อรินสิริ แคมปัส จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 305.03 ล้านบาท และโครงการอรินสิริ บีชคอนโด 1, 2 จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 785.41 ล้านบาท
ผลประกอบการของบริษัทในช่วงปี 59-61 มีรายได้รวมจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 85.30 ล้านบาท 391.65 ล้านบาท และ 382.03 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ผลงานในปี 59 ขาดทุนสุทธิ 11.42 ล้านบาท ปี 60 มีกำไรสุทธิ 37.09 ล้านบาท และปี 61 มีกำไรสุทธิ 26.05 ล้านบาท โดยคาดว่าจากความพร้อมทางด้านบุคลากรเพื่อรุกการขาย และโครงการที่อยู่ระหว่างทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ จะสนับสนุนให้ปี 62 เป็นอีกปีที่ดีของบริษัทเมื่อเทียบกับปีก่อนได้อย่างชัดเจน