นายประวิทย์ โชติวัฒนาพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปี 62 ยังทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เติบโต 8-10% หรือมีรายได้อยู่ที่ 1.53 หมื่นล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาจากการพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เพื่อขายเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวทางของบริษัทที่ยังคงเน้นเป็นหลักในปีนี้ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงา และไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน (LTV) ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา
แม้ปัจจุบันระดับราคาเฉลี่ยของโครงการแนวราบของบริษัทจะอยู่ที่เฉลี่ยตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูงและมีความสามารถผ่อนชำระที่ดี ส่วนกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปนั้นส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อเงินสด หรือกู้สถาบันการเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ปัจจัยของเกณฑ์ LTV ไม่กระทบต่อการขายโครงการ และบริษัทยังคงขายบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ทันที และทำให้บริษัทมีสต็อกโครงการแนวราบเพียงเล็กน้อย ส่งผลดีต่อการควบคุมต้นทุนการขายและบริหารที่อยู่ไนระดับที่เหมาะสม
สำหรับรายได้ของบริษัทในปีนี้จะแบ่งเป็นรายได้ที่มาจากโครงการคอนโดมิเนียม 16% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียม Q สุขุมวิท และสัดส่วนรายได้ 30% มาจากการโอนโครงการทาวน์เฮาส์ ขณะที่ 54% มาจากการโอนโครงการบ้านเดี่ยว
นายประวิทย์ กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในอนาคตจากคอนโดมิเนียมจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทชะลอการพัฒนาคอนโดมิเนียมใหม่หลังจากภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายต่างเปิดขายโครงการคอนโดเนียมใหม่เพิ่มขึ้นมาก และปัญหาคอนโดมิเนียมล้นตลาดยังมีอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงเกณฑ์ LTV ใหม่ยังส่งผลกระทบไปถึงการซื้อคอนโดมิเนียม ทำให้บริษัทมองว่าในขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่จะกลับเข้ามารุกตลาดคอนโดมิเนียม
ขณะที่เป้าหมายยอดขายทั้งปี 62 บริษีทตั้งไว้ 1.36 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่รวม 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.17 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 6 โครงการ และบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ซึ่งอยู่ในทำเลกรุงเทพฯทั้งหมด
ในไตรมาส 1/62 บริษัทเปิดขายไปแล้ว 1 โครงการ คือ ทาวน์โฮม Casa City Ramkamhaeng-Misteen มูลค่า 509 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีและช่วยหนุนให้ยอดขายในไตรมาส 1/62 เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนโครงการอื่นๆที่จะเปิดในปีนี้ส่วนใหญ่จะทยอยเปิดในไตรมาส 3/62 เป็นหลัก และจะเปิดในไตรมาส 4/62 บางส่วน
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า แผนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าวของบริษัทที่ก่อนหน้านี้มีแผนจะสร้างเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ แต่ปัจจุบันบริษัทได้ชะลอการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในที่ดินแปลงดังกล่าวไปแล้วเพื่อรอจังหวะของตลาดคอนโดมิเนียมที่เหมาะสมจึงจะกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
ส่วนงบซื้อที่ดินในปี 62 บริษัทตั้งไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท จะเน้นการนำมาพัฒนาโครงการแนวราบทำเลกรุงเทพฯโซนตะวันออก กรุงเทพฯโซนเหนือ และราชพฤกษ์ ซึ่งแนวโน้มของราคาที่ดินยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให่ส่งผลต่อราคาขายโครงการของบริษัทในปีนี้จะต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นราว 2-3% เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่ดินที่เพิ่มขึ้น
นางสาวอภิญญา จารุตระกูลชัย รองกรรมการผู้จัดการ QH กล่าวว่า ในช่วงเดือน ธ.ค. 61 ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโรงแรมแห่งใหม่ในพัทยา คือ โรงแรม Centre Point Hotel พัทยา ริมถนนสุขุมวิท กม.145 จำนวนห้องพัก 556 ห้อง ซึ่งตั้งแต่เปิดให้บริการมาถึงปัจจุจันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) สูงถึง 90% และคาดว่าในปี 63 จะพิจารณานำโรงแรมดังกล่าวขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) เพื่อนำเงินมาใช้ในการลงทุนในอนาคต
ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาหาทำเลในการลงทุนโรงแรมแห่งใหม่ในหัวเมืองใหญ่ โดยมองหาที่ดินที่จะนำมาพัฒนาเป็นโรงแรมในเครือ Centre Point เพื่อสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัทในอนาคต ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ประจำของบริษัทอยู่ที่ราว 7% ของรายได้รวม
บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้ในปีนี้วงเงินรวม 7 พันล้านบาท ซึ่งจะนำมาทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในปีนี้รวม 9 พันล้านบาท โดยอีก 2 พันล้านบาทจะใช้เงินสดของบริษัทจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยหุ้นกู้ ขณะที่บริษัทยังคงควบคุมอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ไม่เกิน 1% เป็นระดับที่เหมาะสม