นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท ลดลง 36 ล้านบาท หรือ 2.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของกำไรพิเศษจากเงินลงทุน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้รายได้ของกลุ่มทิสโก้ชะลอตัวลง
ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายจากการดำเนินธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเกษียณอายุเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
ทั้งนี้ บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับอัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ให้อยู่ในระดับสูงที่ 18%
นายสุทัศน์ กล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.5% ปรับลดลงจากต้นปีที่คาดว่าจะขยายตัว 4.1% เนื่องจากมีความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สงครามการค้าที่ยังไม่สิ้นสุด ความเสี่ยงด้านการเมืองในแต่ละภูมิภาค เช่น Brexit เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยเติบโตไม่มากนัก
รวมถึงปัจจัยในประเทศที่ถึง แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว แต่ยังต้องรอดูเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจที่จะมีความต่อเนื่องได้มากน้อยเพียงใด ด้วยความไม่แน่นอนเหล่านี้ อาจทำให้การทำธุรกิจในปีนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้แม้จะยังคงเดินหน้าขยายการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่การดำเนินการจะต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง ปรับตัวและมองหาช่องทางในการสร้างโอกาสใหม่ๆ เพื่อให้สามารถรักษาระดับการเติบโตของบริษัทไว้ได้
TISCO ชี้แจงว่า ไตรมาส 1/62 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลงจากการโอนขายสินเชื่อส่วนบุคคล และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจากกำไรพิเศษจากเงินลงทุนที่รับรู้ไปเมื่อไตรมาส 1/61 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินธุรกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเกษียณอายุตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ บริษัทตั้งสำรองหนี้สูญลดลง 83.3% ตามเงินสำรองทั่วไปที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เพียงพอเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มี.ค.62 มีจำนวน 241,700 ล้านบาท เติบโต 0.4% จากสิ้นปี 61 จากสินเชื่อบรรษัท สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียน ตามอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สินเชื่อจำนำทะเบียน ภายใต้แบรนด์ "สมหวัง เงินสั่งได้" ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 5.2% จากสิ้นปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจและการขยายสาขาสำนักอำนวยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.0% ในขณะที่บริษัทมีระดับการตั้งสำรองหนี้สูญที่เพียงพอ โดยอัตราส่วนของเงินสำรองรวมของธนาคารต่อสำรองพึงกันตามเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงสูงถึง 220%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 22.4% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 17.4% และ 5.0% ตามลำดับ