นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า ธนาคารและบริษัทในเครือ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิ 12.7 พันล้านบาท สูงขึ้น 104.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 95.6% จากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น 50% ในบริษัท เงินติดล้อ ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 1/62 เทียบกับไตรมาส 4/61 เพิ่มขึ้น 108.5%
แต่หากไม่รวมกำไรจากการขายเงินติดล้อและค่าใช้จ่ายการชดเชยเกษียณอายุตาม พ.น.พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสุทธิรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 11.5% จากไตรมาส 1/61 และเพิ่มขึ้น 13.4% จากไตรมาส 4/61
ณ สิ้นไตรมาส 1/62 เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.3% คิดเป็นจำนวน 37.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 โดยมีการเติบโตจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ส่วนเงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 2.7% หรือจำนวน 39 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.79% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.67% ในไตรมาส 1/61
ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 95.6% จากไตรมาส 1561 ปัจจัยหลักมาจากการบันทึกกำไรจำนวน 8.6 พันล้านบาทจากการขายหุ้น 50% ในบริษัท เงินติดล้อ จำกัด ให้กับพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ของกรุงศรี
ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 38.7% ปรับตัวดีขึ้นจาก 46.1% ในไตรมาส 1/61 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ระดับ 1.99% ปรับตัวดีขึ้นจาก 2.08% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: ปรับตัวดีขึ้นมาที่ 165.7% จาก 160.8% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 ส่วนอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง อยู่ที่ 14.91%
นายโกโตะ กล่าวว่า ธนาคารมีการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่ 2.3% และเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 2.7% พร้อมทั้งการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้แสดงถึงความแข็งแกร่งโดยรวมของธนาคารและความสามารถในการบริหารพอร์ตที่สมดุล นอกจากนี้คุณภาพของสินทรัพย์ยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ 1.99% เทียบกับระดับ 2.08% ณ สิ้นปี 61
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 62 จากการที่เศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่การชะลอตัวตามวัฏจักร ธนาคารยังคงระมัดระวังปัจจัยต่างประเทศและผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย แม้ว่าการใช้จ่ายภาครัฐชะลอตัวลงและอุปสงค์ต่างประเทศลดลง ธนาคารยังมีมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังโดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ 3.8% สำหรับแนวโน้มต่อไป ธนาคารคาดว่าการใช้จ่ายในประเทศจะฟื้นตัวขึ้นจากปัจจัยด้านรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นและมาตรการด้านงบประมาณที่แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งการเร่งเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
ดังนั้น ธนาคารยังคงเป้าหมายการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่ 6-8% สำหรับปีนี้ โดยยังคงมุ่งเน้นด้านการเสริมความแข็งแกร่งของดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
ณ วันที่ 31 มี.ค.62 BAY มีสินเชื่อรวม 1.71 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.47 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.24 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 229.8 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 14.91% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 11.39%