นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในปี 62 ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ขยายสาขาบิ๊กซี (BigC) ที่วางแผนเปิดสาขารูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต จำนวน 8 สาขา โดยเป็นสาขาในไทยจำนวน 7 สาขา และสาขาในกัมพูชาที่ปอยเปต 1 สาขา ในช่วงไตรมาส 3/62 รวมถึงจะขยายสาขาร้านบิ๊กซี ฟู้ดส์ เพลส จำนวน 1 สาขา มินิ บิ๊กซี จำนวน 200 สาขา
และในส่วนของแบรนด์ร้านสะดวกซื้อ M-Point Mart ในลาว จำนวน 43 สาขา จะปรับให้เป็นเป็นร้านมินิ บิ๊กซี โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้มีการรีแบรนด์ไปแล้วจำนวน 2 สาขา และคาดว่าจะเปลี่ยนเป็นร้านมินิ บิ๊กซี ได้ทั้งหมดภายในช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาในการเข้าซื้อหุ้นหรือซื้อสินทรัพย์ของทาง M-Point Mart เพิ่มเติม คาดว่าอาจจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปี 62 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมเติบโต 7-9% จากปีก่อน 1.72 แสนล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่ยอดรวมเติบโต 4.7% โดยการเติบโตมาจากทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคที่ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10-12% ยอดขายของบิ๊กซีตั้งเป้าเติบโต 7-9% จากการขยายสาขาและยอดขายสาขาเดิม (SSSG) กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 4-6% และกลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์ตั้งเป้ายอดขายเติบโตมากกว่า 10%
ส่วนกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วที่ปัจจุบันบริษัทขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนที่มีกำลังผลิตขวดแก้วมากที่สุดที่ 4,350 ตัน/วัน ซึ่งรวมกำลังการผลิตทั้งในและต่างประเทศ แบ่งเป็น ในประเทศ 3,400 ตัน/วัน และโรงงานในต่างประเทศ 950 ตัน/วัน โดยมีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 55% ของยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนกว่า 1 พันล้านบาทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิตในโรงงานที่มีอยู่ 5 แห่งคือ โรงงานผลิตขวดแก้วในประเทศ 3 แห่ง และโรงงานผลิตขวดแก้วในมาเลเซียและเวียดนาม
อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการตั้งโรงงานผลิตแก้วแห่งใหม่ในต่างประเทศ เบื้องต้นสนใจจะเข้าไปลงทุนก่อตั้งโรงงานผลิตขวดแก้วในลาว กัมพูชา และเมียนมา กำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 250 ตัน/วัน เพื่อรับกับการเติบโตของตลาดที่เพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มรณรงค์การลดใช้พลาสติกในทั่วโลก ทำให้ขวดแก้วที่ได้รับความนิยมมากขึ้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนภายในปี 62 และประมาณการงบลงทุนเบื้องต้นไว้ราว 1-1.5 พันล้านบาท