นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บลจ. บางกอกแคปปิตอล (บลจ.บีแคป) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 40,000 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 61 อยู่ที่ 32,500 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/62 เติบโตมาอยู่ที่ 36,200 ล้านบาท โดยมาจากการออกกองทุนใหม่ในปีนี้ 10 กองทุน
บลจ.บีแคป จะเปิดขายกองทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ (BCAP Global Wealth : BCAP GW)ระหว่างวันที่ในวันที่ 16-24 พ.ค. 62 พร้อมกัน 5 กองทุน โดยกองทุนนี้เป็นกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนที่ครอบคลุมสินทรัพย์ทั่วโลก โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามความเสี่ยง 5 ระดับผ่าน 5 กองทุน ซึ่งมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยดูแลปรับพอร์ตการลงทุนให้อย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนอย่างเป็นองค์รวม และประสบผลสำเร็จในการลงทุนระยะยาว ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวธุรกิจกองทุนรวมที่ไม่ใช่รูปแบบ ETF กองแรกของบริษัท
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทได้เตรียมพิจารณาออกกองทุนเพิ่มเติมอีก 5 กองทุนลักษณะคล้ายกับกองทุนบีแคป โกลบอล เวลท์ โดยแต่เดิมมีแผนเปิดตัวในช่วงปลายปี 61 แต่สถานการณ์ตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทได้เลื่อนการออกกองทุนมาเป็นปีนี้ เพื่อที่จะให้เหมาะสมกับภาวะตลาดที่เป็นไปในปัจจุบัน
ด้านนายธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บีแคป กล่าวว่า กองทุน BCAP Global Wealth ซึ่งเป็นซีรีย์ของ 5 กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินทรัพย์ทางเลือก เน้นลงทุนในดัชนีสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุน 1 ใน 5 กองทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ ซึ่งจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ทางเลือกแตกต่างกัน ตั้งแต่ 10% -90% โดยแต่ละกองทุนมีรายละเอียดการลงทุนที่น่าสนใจดังนี้
1.กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 10 (BCAP-GW10) จะลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกรวมกันไม่เกิน 10% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุน (NAV) เน้นลงทุนสินทรัพย์มั่นคงเป็นหลัก คาดหวังผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากธนาคาร
2.กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 25 (BCAP-GW25) จะลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือก รวมกันไม่เกิน 25% ของ NAV ซึ่งเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว
3.กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 50 (BCAP-GW50) จะลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือก รวมกันไม่เกิน 50% ของ NAV ซึ่งเน้นพอร์ตเติบโต สามารถรับผลขาดทุนได้บ้าง
4.กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 75 (BCAP-GW75) จะลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือกรวมกันไม่เกิน 75% ของ NAV คาดหวังผลตอบแทนสูงและรับขาดทุนได้มากขึ้น
และกองทุนสุดท้ายคือ 5.กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ 90 (BCAP-GW90) จะลงทุนในตราสารทุนและสินทรัพย์ทางเลือก รวมกันไม่เกิน 90% ของ NAV สำหรับนักลงทุนที่ไม่กลัวขาดทุน โดยเน้นผลตอบแทนให้สูงที่สุดเป็นหลัก ทั้งนี้ ทั้ง 5 กองทุนมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของ NAV
สำหรับมุมมองมุมมองของตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ราว 3-5% จากระดับในปัจจุบัน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น หลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 1/62 ที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และหากการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จความต่อเนื่องของการผลักดันการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานจะมีมากเพียงใดด้วย
ขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะยังมีความผันผวนมาก เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในช่วงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ (Late Cycle) ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวเร็วกับข่าวที่กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจจะยังไม่เข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) จากธนาคารกลางในกลุ่มประเทศหลักที่ยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย โดยบริษัทให้ความสนใจกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เป็นหลัก เนื่องจากในปีก่อนดัชนีปรับลดลงมาค่อนข้างมาก จากความกังวลต่อสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และประเทศสหรัฐ แต่ปัจจุบันความกังวลดังกล่าวได้ลดลงแล้ว หลังจากที่การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี รวมไปถึงเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 1/62 ที่ผ่านมาออกมาค่อนข้างดี
"ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเคลื่อนไหวในกรอบกว้าง โดยจะปรับตัวขึ้นและลงตามปัจจัยที่กระทบการเจริญเติบโต โดยจะแกว่งขึ้นไปใกล้จุดสูงสุดเดิมในปี 61 ซึ่งเป็นโอกาสทำกำไรในระยะสั้นได้ ดังนั้นกลยุทธ์หลักของการลงทุนควรกระจายการลงทุนในตราสารทุนหลายประเทศ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน กองทุน BCAP Global Wealth จึงออกมาเป็นตัวช่วย"นายธนาวุฒิ กล่าว
ส่วนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะหมดอายุด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีลงในปี 62 นั้น นายธนาวุฒิ เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย เนื่องจากระยะเวลาการไถ่ถอนแตกต่างกันไปคือในระยะเวลา 5-7 ปีปฏิทิน และอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าจะไม่มีการไถ่ถอน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนในรูปแบบระยะยาวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามหากมีรูปแบบกองทุนใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีออกมาแทนกองทุน LTF ก็อาจจะมีการย้ายจากกองทุน LTF ไปยังกองทุนใหม่เกิดขึ้นได้เช่นกัน
"เราเชื่อว่ายังไงก็ไม่กระทบกับภาพรวมตลาดฯแน่ เพราะส่วนหนึ่งระยะเวลาที่จะไถ่ถอนไม่เท่ากันก็จะเป็นการทยอยออก และอีกอย่างเชื่อว่าหากไม่ได้มีกองทุนรูปแบบใหม่เข้ามาให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีก็คงจะไม่เอาเงินออกไปไหนเพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาว และบางคนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยลงทุนไว้"นายธนาวุฒิ กล่าว