นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทาสตีล (ประเทศไทย) (TSTH) คาดว่า ปริมาณขายของบริษัทในงวดปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) เติบโต 5-10% จากปีก่อนมีปริมาณขาย 1.15 ล้านตัน จากการเติบโตตวามต้องการเหล็กภายในประเทศที่คาดว่าปีนี้จะเติบโต 5-6% หรือประเมินอย่างน้อยเติบโต 2-3% หรือทรงตัว มาจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของรัฐ และอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ปีนี้ยอดขายรถยนต์เติบโตดี รวมทั้งการเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลช้า ส่งให้โครงการของภาครัฐต้องเลื่อนออกไป
อย่าวไรก็ตาม บริษัทไม่ได้พึ่งพิงกับโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐอย่างเดียว แต่พยายามผลักดันยอดขายเหล็กลวดให้เพิ่มขึ้น และเน้นข่องทางจำหน่ายไปที่ Retail และส่งออกมากขึ้น โดยการส่งออกปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนส่งออก 11.5-12% ใกล้เคียงปีก่อนมีสัดส่วน 11.5% หรือคิดเป็นยอดส่งออก 1.36 แสนตัน โดยมีตลาดหลักที่อินเดีย ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย และเริ่มส่งออกไปที่มาเลเซีย เทียนมา ส่วนที่ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ได้ขอใบอนุญาตนำเข้าแล้วหากมีจังหวะดีจะส่งออกไป
ทั้งนี้ แนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าช่วยสนับสนุนให้ยอดส่งออกดี โดยขณะนี้เงินบาทอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าปีนี้เงินบาทจะอ่อนตัวมาที่ 32.50-33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จากปีก่อนเงินบาทอยู่ที่ 31.00-31.50/60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดีจะยังเน้นขายในประเทศเพราะมีมาร์จิ้นดีกว่า
ปัจจุบัน TSTH มี 3 โรงงาน รวมกำลังการผลิต 1.7 ล้านตัน แบ่งเป็นเหล็กเส้น 1 ล้านตัน เหล็กลวด 6 แสนตันและเหล็กอื่นอีก 1 แสนตัน โดยใช้กำลังการผลิต 1.2 ล้านตัน ดังนั้น หากตลาดเติบโตดีก็สามารถผลิตได้ทันที ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
นายราจีฟ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งแรกของงวดปี 62/63 (เม.ย.-ก.ย. 62) เติบโตดีกว่าครึ่งแรกปีก่อน จากยอดขายและราคาดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของงวดปี 61/62 ขาดทุน เพราะบริษัท เหล็กก่อสร้างสยาม จำกัด (SCSC) ต้องหยุดผลิตไป 1 เดือนหลังโรงงานเกิดเหตุระเบิด ในไตรมาส 3 และในไตรมาส 4 ราคาสินค้าสำเร็จรูปลดลงมากฉุดภาพรวมทั้งปีของบริษัท
ด้านนายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ การตลาดและการขาย กล่าวว่า ช่วงนี้ราคาเหล็กเส้น และเหล็กลวดในประเทศปรับตัวขึ้นมา 1 บาทกว่าจากปีก่อนมาที่ 18 บาท/กก. และ 19-20 บาท/กก.ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน แม้ว่าปีนี้ปริมาณเหล็กจากจีนเข้ามาไทยน้อยลง เพราะโรงงานในจีนลดลงสามารถปรับปริมาณขายกับผลิตใกล้เคียงกัน แต่มีเหล็กลวดคาร์บอนต่ำจากเวียดนามทะลักเข้ามาประมาณ 1-1.2 หมื่นตัน/เดือน จากเดิมเข้ามาราว 4 พันตัน/เดือน ส่วนมาเลเซียเข้ามา 3-4 พันตัน/เดือน ซึ่งจับตาดูอยู่ และจะรายงานให้กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการการทุ่มตลาด
นอกจากนี้ ได้ขออนุมัติงบลงทุนจากคณะกรรมการไว้ 200 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงการผลิตเพื่ออัพเกรดเหล็กลวดเป็นเหล็กลวดคาร์บอนสูง และเพิ่ม product Mix และเตรียมเสนองบลงทุนเพิ่มเป็น 400 ล้านบาทจากปกติใช้งบ 200-250 ล้านบาท ให้กับผู้ถือหุ้นรายใหม่คือกลุ่ม HBIS เพื่อนำไปปรับปรุงการผลิต ปรับปรุงต้นทุน ควบคุมต้นทุนการผลิต
นายราจีฟ คาดว่า T S Global Holdings Pte. Ltd. (TSGH) ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถืออยู่ 67.90% จะลงนามสัญญาขายหุ้นให้กับ Hebsteel Global Holding Pte. Ltd. ที่เป็นบริษัทย่อยของ HBIS Group Co., Ltd. (HBIS) ได้ภายในปลายเดือนพ.ค.นี้. และจะทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หลังเข้าถือหุ้นส่วนใหญ่ราว 70% และต้องรอดูผลว่ารายย่อยจะขายให้เท่าไร จึงจะพิจาณาว่าจะเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์หรือไม่