SCC คาดกำไร Q2/62 ถูกกระทบจากตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงาน-มาร์จิ้นปิโตรฯอ่อนตัว,ทบทวนเป้ายอดขายปีนี้หลัง Q1 หด 5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 29, 2019 16:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี คาดว่ากำไรในไตรมาส 2/62 ถูกกระทบจากการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ราว 2 พันล้านบาท ขณะที่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์และราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนกำไรมากสุดถึง 52% ของเอสซีจีนั้น ก็มีแนวโน้มอ่อนลงจากไตรมาสแรก รวมถึงต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาของกลุ่มเคมีภัณฑ์สูงขึ้นตาม ทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์อ่อนตัวลงด้วย

นอกจากนี้ เอสซีจีอยู่ระหว่างทบทวนเป้าหมายยอดขายทั้งปี 62 ใหม่จากเดิมที่คาดเติบโต 5-10% จาก 4.78 แสนล้านบาทในปีที่แล้ว หลังจากที่ยอดขายในไตรมาสแรกหดตัว 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเนื่องมาจากความต้องการและราคาสินค้าที่อ่อนแอมากกว่าที่คาด

"ไตรมาส 2 มีวันหยุดเยอะทั้งในประเทศและทุกประเทศในอาเซียน ต้นทุนน้ำมันก็สูงขึ้น เรายังมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานตามกฎหมายแรงงานอีกประมาณ 2 พันล้านบาทด้วย…ดีมานด์ที่อ่อนตัวลงตอนนี้เรายังไม่เห็นว่าจะกลับมาดีขึ้นช่วงไหน factor เรื่องของจีนสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีน ตอนแรกเรารู้สึกว่าพ้นจากตรุษจีนมาน่าจะเห็นทิศทางที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นทิศทางที่ดีขึ้น เดี๋ยวสักพักก็จะหยุดงานอีกแล้ว factor หลัก ๆ มาจากสงครามการค้า ความต้องการในจีนที่อ่อนตัวลงก็ดันราคาสินค้าขึ้นได้น้อยลง"นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า เอสซีจียังมีความกังวลต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูงทำให้บริหารจัดการธุรกิจได้ค่อนข้างยาก เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามากระทบ อย่างล่าสุดที่สหรัฐยกเลิกการผ่อนผันให้ 8 ประเทศนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านก็จะทำให้ปริมาณน้ำมันที่เข้าสู่ตลาดโลกลดลง แต่สิ่งที่เอสซีจีสามารถบริหารจัดการได้ในระยะสั้น คือ การลดสต็อกผลิตภัณฑ์เหลือสั้นที่สุดราว 1-2 สัปดาห์ จากปกติที่อยู่ราว 1 เดือน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีที่สุด

ส่วนในระยะยาวก็ต้องมีการลงทุนด้านนวัตกรรมต่อเนื่องเพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขัน โดยเอสซีจีไม่มีแผนที่จะชะลอการลงทุนในส่วนนี้ซึ่งในไตรมาสแรกใช้งบลงทุนด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า1.4 พันล้านบาท คิดเป็น 1.3% ของยอดขาย

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 เอสซีจีมีกำไรสุทธิ 1.17 หมื่นล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดขาย 1.12 แสนล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของผลการดำเนินงานธุรกิจเคมีภัณฑ์ทั้งในส่วนของมาร์จิ้นและราคาขายสินค้าที่ปรับตัวลดลง 10-20% ตามความต้องการในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ทำให้ต้องทบทวนเป้าหมายยอดขายทั้งปีนี้ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังสิ้นไตรมาส 2/62

"ไตรมาสแรกยอดขายเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้วหายไป 5% ไม่แน่ใจว่า 3 ไตรมาสที่เหลือจะไล่กวดทันไหม ดูแล้วความต้องการของตลาดของสินค้าในหลาย ๆ ตัวดูแล้วค่อนข้างอ่อนตัว เรายังไม่ได้ตั้งเป้าหมายใหม่ เป้าเดิมที่เคยบอกว่าบวกประมาณสัก 5-10% จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ เนื่องจากราคาสินค้าไม่ได้ แต่ในแง่วอลุ่มสินค้าได้ สินค้าที่ลดลงมากกว่าคาดคือกลุ่มปิโตรเคมี ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้น ทำให้ต้นทุนปรับตัวขึ้นไปมาก ราคาสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ตัวหลักก็ปรับราคาขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยส่วนที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นได้ทั้งหมดทำให้มาร์จิ้นสินค้าลดลง"

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า สำหรับความต้องการสินค้าปูนซีเมนต์ในประเทศนั้น ยังคงอยู่ระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเล็กน้อยจากคาดการณ์ทั้งปีนี้จะเติบโต 3-5% ก็ต้องรอดูความชัดเจนต่อเนื่องหลังจากในไตรมาสแรกความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ขยายตัวเพียง 2% และในไตรมาส 2 อาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนมากนักเพราะมีวันหยุดช่วงสงกรานต์ ต้องรอดูความต้องการใช้ในเดือนพ.ค.และเดือนมิ.ย.อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม SCC คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตลาดน่าจะยังคงได้แรงกระตุ้นจากความต้องการใช้ของภาครัฐต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีงานประมูลออกมาบ้างแล้ว หลังจากนี้ก็จะมีการดำเนินการก่อสร้างตามงานที่ได้ประมูลไปแล้ว ก็จะผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ เอสซีจียังใช้งบลงทุนตามเป้าหมายเดิมที่ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ยังคงเป็นไปตามแผน โดยโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ เวียดนาม มีความคืบหน้าแล้ว 10% ,การขยายกำลังการผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ ก็ยังเดินหน้าเพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามแผนในปี 64 และการขยายโรงงานกระดาษในฟิลิปปินส์สามารถดำเนินการได้เร็วกว่าแผนเล็กน้อย

ส่วนแผนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะสรุปได้ในกลางปี 63 จากเดิมที่คาดว่าจะสรุปได้ในปลายปีนี้ หลังจากที่สถานการณ์ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยสงครามการค้า ทำให้การพิจารณาการลงทุนก็ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น จากปัจจุบันที่เอสซีจี ร่วมลงทุน 30% กับพันธมิตรอินโดนีเซีย ในโครงการแรกในนามของ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP)

ด้านความร่วมมือกับกลุ่ม PSA South East Asia จากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจท่าเรือชั้นนำของโลก ก็จะเข้ามาร่วมดำเนินการท่าเรือแม่น้ำกับเอสซีจี ก็จะเป็นการเสริมธุรกิจโลจิสติกส์ให้ครบวงจรและต่อยอดการให้บริการโลจิสติกส์ในภูมิภาคมากขึ้นท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ปัจจุบันรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์อยู่ที่ราว 10% ของรายได้ทั้งหมดเอสซีจี ณ สิ้นไตรมาส 1/62 เอสซีจี มีสินทรัพย์รวม 5.98 แสนล้านบาท โดย 27% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ