นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 62 จะเติบโต 5-10% จะมีการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการขายต่างๆ รวมไปถึงการสร้างความแตกต่างด้วยธุรกิจดิจิทัลมาตรการบริหารค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลิตภาพ (productivity) นอกจากนั้น บริษัทจะเพิ่มความร่วมมือกับพันธมิตรทางกลยุทธ์เป็นองค์กรแห่งดิจิทัลและนวัตกรรมความยั่งยืน รวมทั้งเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
พร้อมกันนั้น บริษัทเตรียมขยายการกิจการไผยังภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติม โดยเป็นการขยายต่อเนื่องจากในไทย ในปีนี้จะเริ่มจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพัฒมิตรท้องถิ่นในการเปิดให้บริการแพลตฟอร์มให้บริการด้านคอนเท้นต์ที่มีรูปแบบคล้ายกับ TrueID เพื่อเป็นการสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
บริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (DIF) เพิ่มเติม แต่มูลค่าอาจจะไม่สูงมากนัก โดยจะเป็นเสาโทรคมนาคม และโครงข่ายไฟเบอร์
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้ผู้รับใบอนุญาตคลื่น 900 MHz สามารถขยายเวลาการจ่ายค่าใบอนุญาตงวดสุดท้ายออกไปเป็น 10 งวดปี จากปี 63 นับตั้งแต่วันที่เริ่มจ่ายใบอนุญาต คือในปี 59 หรือขยายเป็นปี 69 และกำหนดให้ผู้ที่ได้รับการผ่อนผันต้องเข้าร่วมประมูลคลื่น 700 MHz นั้น บริษัทยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์
นายศุภชัย กล่าวว่า บริษัทจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริษัทนัดพิเศษเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ถึงจะตอบได้ชัดเจนว่าจะเข้าร่วมประมูลหรือไม่ จะประมูลบางส่วนหรือทั้งหมด หรืออาจจะไม่ประมูลเลย และเชื่อว่าขณะนี้ผู้ประกอบการรายอื่นก็อยู่ในการพิจารณาเช่นเดียวกัน
ส่วนการทดสอบคลื่น 5G ที่ผ่านมานั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเชื่อว่า 5G จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และรองรับการใช้งานของ IoTเพื่อเพิ่มการเติบโตที่สูงให้กับกลุ่มทรู แต่เชื่อว่าจะไม่มีโอเปอร์เตอร์รายที่ 4 เข้ามาประมูล
ขณะที่การประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้อนุมัติให้บริษัทขยายวงเงินในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินเพิ่มเติมอีกจำนวนไม่เกิน 30,000 ล้านบาท(หรือจำนวนเทียบเท่าในสกุลเงินอื่น) ทั้งนี้เมื่อคำนวณรวมกับหุ้นกู้ของบริษัทที่ยังไม่ได้ไถ่ถอนทั้งหมด (ตามมูลค่าที่ตราไว้) ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ต้องมีจำนวนรวมกัน ไม่เกิน 90,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถออกหุ้นกู้ใหม่สำหรับการชำระหนี้เดิม รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอนาคต การขยายธุรกิจ ตลอดจนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน