บล.กสิกรไทย มองการเมืองในประเทศกดด้น SET หากไม่ชัดเจนมีโอกาสร่วงลงแตะ 1,575-1,580 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 2, 2019 16:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องติดตามในปัจจุบันที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) คือ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ซึ่งหากมีความชัดเจนออกมาแน่นอนในสัปดาห์หน้าจะเป็นแรงส่งให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นต่อได้ และทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น แต่หากการเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจนออกมา จะเป็นตัวฉุดดัชนี SET ที่มีโอกาสปรับตัวลดลงไปที่ระดับ ไม่เกิน 1,575-1,580 จุด ได้ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยเสีย Sentiment ไประยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนที่มาจากปัจจัยภายนอกช่วยผลักดัน โดยเฉพาะการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนที่มีทิศทางที่ดี หลังจากรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา เช่น มาตรการลดภาษีค่าไฟ และค่าอินเตอร์เน็ต และมาตรการลดภาษีซื้อรถยนต์ในเมืองรอง เป็นต้น ประกอบกับ ความคลายกังวลของสงครามการค้าที่ลดลง ทำให้การส่งออกกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง และส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่การลงทุนต่างๆ ยังคงเดินหน้า จากการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันยังมีอำนาจในการเดินหน้าเรื่องต่างๆในประเทศได้ พร้อมกับมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา กระตุ้นการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอย และภาคการส่งออกที่คาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งปีหลัง และทั้งปียังขยายตัวได้

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 ของบริษัทที่จดทะเบียนออกมาจำนวนหนึ่งแล้วมีการเติบโตที่ดีกว่าคาดของนักวิเคราะห์เล็กน้อย ยกเว้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ถูกแรงกดดันจากการออกมาตรการควบคุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเฉพาะมาตรการ LTV ที่คาดว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบดังกล่าวไปด้วยหลังจากการแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/62 ออกมาแล้ว ซึ่งบล.กสิกรไทยยังมีความมั่นใจว่าดัชนี SET ในปี 62 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดว่าอยู่ที่ 1,750 จุด

ทั้งนี้ในส่วนของคำแนะนำในการลงทุน กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์ค่อนข้างมากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐออกมาใหม่นี้ คือ กลุ่มค้าปลีก ซึ่งแนะนำหุ้น CPALL, BJC และ HMPRO รวมไปถึงกลุ่มสินค้าเกษตรที่ได้รับอานิสงส์การการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการส่งออกที่กลับมาฟื้นตัว คือ CPF

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปที่หุ้นที่มีความเสี่ยงและความผันผวนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความสม่ำเสมอนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่เป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่อยากกระจายความผันผวนของพอร์ต พร้อมสร้างผลตอบแทนที่มีความสม่ำเสมอในระดับที่ดี และเป็นนักลงทุนที่มีเงินอยากจะซื้อหุ้นกู้แต่ไม่สามารถซื้อได้ทัน

โดยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่บล.กสิกรไทยแนะนำ คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ซึ่งเป็นกองทุนประเภทสิทธิการเช่า ระยะเวลา 29 ปี ซึ่งกองทุน TFFIF เพิ่มจัดตั้งในปี 61 ยังมีสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่มาก และมีสินทรัพย์ที่เป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาชนไทยใช้ทุกวันในการเดินทาง และมีรายได้เข้ามาตลอด คือ ทางด่วน ซึ่งเป็นกองทุนที่มีความโดเด่นในด้านรายได้ที่มีความแน่นอนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 5.5% ต่อปี และยังมีแผนเพิ่มมูลค่ากองเป็น 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีการซื้อสินทรัพย์เข้ามาเพิ่มอีก จากปัจจุบันที่มีมูลค่ากองอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการนำมอเตอร์เวย์อีก 2 สาย ที่อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายเข้ามาในกองดังกล่าว การซื้อสินทรัพย์เข้ามาในกองจะทำให้ราคาหน่วยของกองทุนรวม TFFIF เพิ่มขึ้นได้ราว 2 บาท ซึ่งเป็นราคาเป้าหมายของ บล.กสิกรไทย ที่ให้ไว้ที่ 13.31 บาท/หุ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ