นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งหลังปีนี้เชื่อว่าจะฟื้นตัวอย่างโดดเด่นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอจากงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังเติบโต
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชื่อว่าปีนี้ผลการดำเนินงานจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน หรือทำรายได้เติบโตขึ้นเป็น 1,600 ล้านบาท ขณะที่บริษัทจะเน้นประสิทธิภาพของการทำกำไรให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเป็นหลัก โดยถือว่าช้วงต้นปีมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากราคาวัตถุดิบเหล็กเริ่มนิ่ง และราคาน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้น หากค่าเงินบาทไม่แกว่งตัวผันผวนก็เชื่อว่าจะไม่ทำให้บริษัทเกิดปัญหาเหมือนในช่วงต้นปี 61
"ภาพรวมธุรกิจในไตรมาสที่เหลือของปีนี้เชื่อว่าจะยังคงสดใสต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เนื่องจากจะมีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับภาคการก่อสร้างมีการขยายตัว จากการที่ภาครัฐเร่งผลักดันให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโครงการรถไฟฟ้า และการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าจากอากาศลงใต้ดิน จึงเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะยังคงทำผลงานให้ขยายตัวและเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เช่นกัน"นายธานินทร์ กล่าว
ในปีนี้บริษัทยังคงเน้นขยายกำลังการผลิตท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน จากเดิมอยู่ที่ 3 แสนเมตรต่อปี เป็น 1 ล้านเมตรต่อปี เพื่อรองรับความต้องการท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินจากโครงการของภาครัฐและโครงการรถไฟฟ้า โดยจะศึกษาการขยายความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะงานในกลุ่มดังกล่าวยังมีการแข่งขันไม่สูงมาก รวมทั้งศึกษาการรับงานในรูปแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะงานก่อสร้างเฉพาะทาง เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก
นอกจากนั้น บริษัทยังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตจากแผ่นโฟม (PID) ที่ใช้ในระบบปรับอากาศ ซึ่งเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ด้วย หลังจากมีการซื้อโรงงานเก่าในจีนมาปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อทำการผลิตสินค้าดังกล่าว
ในปีนี้รายได้หลักของบริษัทจะมาจากการทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นคำสั่งซื้อจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มราว 48 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงานใหม่ ๆ จากภาครัฐและเอกชน ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเตรียมเสนองานอีกหลายโครงการตามทิศทางขาขึ้นของธุรกิจก่อสร้าง
นายธานินทร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันคำสั่งซื้อท่อร้อยสายจากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังไม่ได้เข้ามามากนัก ส่วนหนึ่งเนื่องจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าในส่วนของฐานรากช่วงแรกยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ท่อร้อยสาย ซึ่งโดยปกติจะใช้ในส่วนของโครงสร้างด้านบนสถานี คาดว่าจะเริ่มเห็นคำสั่งซื้อจากโครงการเหล่านี้เข้ามามากขึ้นในปีหน้าเป็นอย่างเร็ว หรือเมื่อการก่อสร้างโครงการคืบหน้าไปได้ราว 20-30% อีกทั้งโครงการอื่น ๆ ยังมึความล่าช้า โดยเฉพาะรถไฟรางคู่ และ รถไฟความเร็วสูง
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากงานขายสินค้าที่มีการกระจายกลุ่มลูกค้าไปในหลายอุตสาหกรรม และหลายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันยังขายสินคัประเภทท่อให้กับงานก่อสร้างอาคารต่าง ๆ เป็นหลัก จึงไม่ได้รวมยอดขายที่จะได้จากงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐไว้ในประมาณการ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มเติมตามระยะการก่อสร้างที่มีความคืบหน้า