นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คิงส์ฟอร์ด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน พ.ค.62 คาดว่า ดัชนีหุ้น (SET Index) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,640-1,720 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ประเด็นการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องรับรองผลการเลือกตั้ง 95% ให้ได้ก่อนวันที่ 9 พ.ค.62 หลังจากนั้น 15 วันจะมีการเรียกประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา จากนั้นจึงลงคะแนน 2 สภารวมเสียง 750 เสียงเพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดจะได้นายกฯ ใหม่ราวปลายเดือน มิ.ย.62 น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
รวมทั้ง การเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ล่าสุดยังไม่ได้ข้อยุติ โดยมีความเสี่ยงที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ที่อัตรา 25% ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวของทั้ง 2 ประเทศราว -0.50 %
"ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินหากได้รัฐบาลใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ น่าจะส่งผลให้บวกต่อฟื้นตัวของ เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังรอประเมินผลการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน หากไม่ได้ข้อยุติจะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังชะลอตัวกว่าคาดการณ์ ส่วนทิศทางดัชนี SET พ.ค.นี้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 1,640-1,720 จุด"นายอภิชัย กล่าว
ในส่วนรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยงวดไตรมาส 1/62 มีแนวโน้มฟื้นตัวหากเทียบกับงวดไตรมาส 4/61 แต่จะชะลอตัวหากเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน หลังจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์รายงานกำไรไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ราว 5%
กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี น่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 4/61 จากกำไรสต็อกน้ำมัน แต่กำไรยังคงชะลอตัวจากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากสเปรดปิโตรเคมีและค่าการกลั่นยังทรงตัวระดับต่ำ ส่วนกลุ่มธุรกิจ Domestic คาดกำไร ยังขยายตัวได้ดี เช่น ค้าปลีก , ท่องเที่ยว , โรงพยาบาล
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนพ.ค.62 แนะนำลงทุนลักษณะ Trend Follow โดยมีแนวรับบริเวณ 1,640-1,660 แต่หากสามารถผ่านแนวต้านที่ 1,680 จุดได้ ประเมินดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,700-1,720 จุด แนนำทยอยซื้อหุ้น CPALL, BJC, HMPRO, AOT, AAV, ERW, AP, PSH, SPALI เนื่องจากได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ผ่านการบริโภค , ท่องเที่ยว และอสังหา ฯ
นอกจากนี้ สามารถซื้อลงทุนในหุ้น BBL, CK, STEC, AMATA, WHA และซื้อหุ้นที่ประโยชน์จากการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของ MSCI เช่น KBANK, SCC, PTT, ADVANC, BDMS, BH, CPN, CPF, TU