นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ. ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) เปิดเผยว่า มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้จะสามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งในส่วนของรายได้ และกำไร ตามแผนงานที่วางไว้ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1/62 รายได้อยู่ที่ 392.46 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 84.85 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 4/61 โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้กำไรปรับตัวลดลงมาจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานประจำปีของโรงไฟฟ้า 3 แห่งพร้อมกันซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 เพื่อรักษาสภาพเครื่องจักรให้เดินเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในปีนี้ยังเหลืออีก 3 โรงไฟฟ้า ที่ต้องปิดซ่อมบำรุงตามแผน
"ถึงแม้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ของปีนี้จะปรับตัวลดลง แต่มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้และกำไร ของปีนี้จะสามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ จากการที่เราเตรียม COD เพิ่มอีก 3 โครงการ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ กำลังการผลิตรวมประมาณ 40 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 100 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตรอบใหม่ จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น"
ขณะเดียวกันในในวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศรายชื่อ "บริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด" ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ โครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ในรูปแบบ FIT เรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดให้ยื่นลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายภายใน 120 วัน โดยโครงการดังกล่าวมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์ (MW) ปริมาณไฟฟ้าเสนอขาย 8 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญาก่อสร้างและบริหารจัดการระบบการนำขยะมูลฝอยจากหลุมฝังกลบมาใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าปริมาณ 3 ล้านตัน เป็นเวลา 23 ปี มูลค่าลงทุน 1,500 ล้านบาท โดยโครงการนี้ได้รับค่าไฟฟ้าในรูปแบบ FIT ราคาหน่วยละ 5.78 บาท คาดอัตราผลตอบแทน EIRR อยู่ที่ 18-23 % ต่อปี
ประธานคณะกรรมการบริหาร TPCH กล่าวอีกว่า โดยในช่วงเดือนมกราคม 2562 บริษัทฯ ได้เข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ กทม.มูลค่าราคากลางการลงทุนโครงการละประมาณ 6,700 ล้านบาท ในนาม บริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด ที่บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วน 50% และได้เตรียมเครื่องมือทางการเงินไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและกระจายความเสี่ยงธุรกิจ บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าต่างประเทศ เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมุ่งเน้นไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV เป็นหลัก คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้