นายปจงวิช พงษ์ศิวาภัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/62 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,901 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 2,614 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี Normalized Net Profit (NNP) ซึ่งเป็นจำนวน 2,057 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี ,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 3,627 ล้านบาท ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 62 ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของหน่วยผลิตหลัก ซึ่งคือ โรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน แม้ว่าการซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน จะใช้เวลาเพียง 39 วัน ซึ่งเร็วกว่าที่วางแผนไว้ก็ตาม ในส่วนของกลุ่มโรงผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและไอน้ำ (Cogeneration) นั้น ปริมาณความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว
"อัตรากำไรของกลุ่มธุรกิจ Cogeneration ยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาก๊าซธรรมชาติ และราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง แม้จะมีการปรับขึ้นค่าเอฟทีจำนวน 4.30 สตางค์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ตาม"นายปจงวิช กล่าว
นายปจงวิช กล่าวอีกว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท โกลว์ เอสพีพี 1 จำกัด ในราคา 3,300 ล้านบาท โดยได้รับรู้กำไรจากการขายหลังหักภาษีจำนวน 512 ล้านบาท ในงบกำไรขาดทุนในไตรมาสแรกของปีนี้
ด้านนางศิโรบล บุญถาวร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงินกลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มนำมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่เกี่ยวกับรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า (TFRS15) มาใช้ในการรับรู้รายได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของบริษัทตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 62 เป็นต้นไป
โดย ณ วันที่ 1 มกราคม 2562 บริษัทได้ทำการปรับลดกำไรสะสมในงบแสดงฐานะทางการเงินรวมของบริษัทลงเป็นจำนวน 5,821 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่ส่งผลกระทบต่อกำไรสะสมเพียงครั้งเดียว (one-time adjustment) เพื่อรับรู้ผลกระทบสะสมย้อนหลังจากการนำมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ดังกล่าวมาใช้ นอกจากนั้นมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ดังกล่าวยังทำให้บริษัทต้องทำการปรับลดการรับรู้รายได้จากการขายและบริการในปี 2562 ลง โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2562 มีจำนวน 345 ล้านบาท