นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มสามารถในไตรมาส 1/62 รายได้และกำไรของทุกสายธุรกิจเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยทั้งกลุ่มมีรายได้รวม 3,364 ล้านบาท เติบโตขึ้น 37% และมีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
อนึ่ง SAMART แจ้งผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิ 200.43 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.20 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.53 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.01 บาท
กลุ่ม ICT Solutions โดย บมจ. สามารถเทลคอม (SAMTEL) มีรายได้รวม 2,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 150% โดยในไตรมาสแรก มีการเซ็นสัญญาโครงการไปแล้วมูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท อาทิ โครงการติดตั้งและพัฒนาระบบสารสนเทศธุรกิจหลัก หรือ Core Business Process System ให้แก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME Bank , โครงการของบมจ.ท่าอากาศยานไทย, โครงการของกระทรวงสาธารณสุข, โครงการของกระทรวงมหาดไทย ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีโครงการในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6,400 ล้านบาท
ขณะที่การเติบโตของสายธุรกิจ ICT ยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน จากนโยบายของรัฐในการพัฒนาประเทศรองรับยุคดิจิทัล โดยคาดว่าหลังการจัดตั้งรัฐบาล จะเห็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับเทคโนโลยีการสื่อสาร คมนาคม และอื่นๆ
กลุ่ม SAMART Digital (SDC) เริ่มพลิกฟื้นธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด จากผลประกอบการที่เริ่มขยับไปในทิศทางบวก โดยในไตรมาส 1/62 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 225 ล้านบาท จากธุรกิจ Digital Network และ Digital Content เพิ่มขึ้นเกือบ 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน อีกทั้ง บริษัทยังมีผลขาดทุนที่ลดลงกว่า 50% จากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นและการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง นับเป็นสัญญานของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน
กลุ่ม SAMART U-Trans (SUT) มีรายได้รวม 762 ล้านบาท โดยมีบริษัท Cambodia Air Traffic Services ซึ่งให้บริการวิทยุการบินในประเทศกัมพูชาเป็นหัวหอกสำคัญ เติบโตเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ส่วนบริษัท เทด้า ซึ่งทำธุรกิจด้านสายส่งไฟฟ้า มีโอกาสเข้าประมูลงาน มูลค่ารวม 2.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น งานโครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท , การไฟฟ้านครหลวง 1.3 หมื่นล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 3 พันล้านบาท
นอกจาก 3 สายธุรกิจข้างต้นแล้ว ธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่ม ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี อาทิ บมจ.วันทูวันคอนแทคส์ (OTO) ผู้ให้บริการด้านคอลเซ็นเตอร์ครบวงจร ซึ่งมีการพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การนำ Voice AI และ Chatbot มาให้บริการ เพื่อยกระดับคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ส่วนธุรกิจกล้องวงจรปิด ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท วิชั่นแอนด์ซีเคียวริตี้ จำกัด ก็มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ด้วยเป้าหมายในการปรับเปลี่ยน SAMART Corporation จาก Holding Company ไปสู่ Operating Company บริษัทได้มีการศึกษาและเตรียมลู่ทางธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ไว้แล้ว ทั้งหมดก็เพื่อเป้าหมายในการสร้างความยั่งยืนให้แก่กลุ่มสามารถ