นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อันดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจางานของ TOYOTA ซึ่งจะเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ คาดว่าจะได้งานราว 150-200 ล้านบาท น่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 2/62
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 900 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 450 ล้านบาท และยังคงเดินหน้าเจรจางานอย่างต่อเนื่อง ส่วนงบลงทุนปีนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 300 ล้านบาทเพื่อซื้อเครื่องจักรเข้ามาทดแทนเครื่องจักรเดิมที่ปลดระวาง 3 เครื่อง และการทำวิจัยและพัฒนาเพิ่ม 200 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/62 ในงบเฉพาะของบริษัทมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 74% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 23 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมเท่ากับ 485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 468 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี เนื่องจากยอดขายต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 55 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26% จากการขายให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ในประเทศซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้น เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศซาอุดิอาระเบียมีความผันผวนและ บริษัทฯชะลอการขายสินค้าให้ลูกค้ารายใหญ่ที่มีหนี้ค้างชำระเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจดีขึ้นทำให้ส่วนประกอบรถยนต์ในประเทศดังกล่าวมีความต้องการมากขึ้น รวมทั้ง รายได้จากโซนอเมริกาใต้เพิ่มขึ้น 11% จากลูกค้ารายใหม่ และจากการให้เช่าแม่พิมพ์
นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้ส่วนแบ่งการลงทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และการร่วมค้า ในไตรมาส 1/62 ซึ่งเกิดจากบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) ในฐานะบริษัทร่วมค้าของ FPI ที่เข้าลงทุนในสัดส่วน 33.37% ปัจจุบันสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ ของบริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (PWGE) โดย SAFE เข้าลงทุนใน PWGE คิดเป็นสัดส่วน 99.99%, บริษัท บิน่า พูรี่ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด โดย SAFE เข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 49% และบริษัท เซฟ ไบโอแม็ส จำกัด โดย SAFE เข้าลงทุนในบริษัท เซฟ ไบโอแม็ส จำกัด คิดเป็นสัดส่วน 100% ทำให้ในไตรมาส 1/62 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้าเท่ากับ 4 ล้านบาท
"ไตรมาส 1/62 มีทิศทางที่ดีขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 10% มีรายได้ 2,200 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,982.14 ล้านบาท แผนปีนี้จะเดินหน้าไปยังกลุ่มตลาดใหม่ๆ ทั้งออสเตรเลีย ยุโรป สหรัฐฯ เพราะกลุ่มประเทศดังกล่าวมีความต้องการสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ดังนั้น ทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดี และปีนี้จะมีปัจจัยหนุนจากโรงงานที่อินเดีย ซึ่งจะเริ่มรับรู้กำไรอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเมินว่าต้นทุนปีนี้น่าจะลดลงประมาณ 40-50% ส่งผลให้ความสามารถของอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้"นายสมพล กล่าว